Share

บทที่ 8

ครึ่งเดือนถัดมา งานเลี้ยงครบเดือนขององค์หญิงหย่งอันก็ถูกจัดขึ้น

เดิมทีฮ่องเต้ต้าฉู่คิดจัดเป็นงานใหญ่ แต่ถูกพระสนมเฉินเฟยห้ามไว้ เหตุเพราะตำแหน่งของติ้งกั๋วโหว บวกกับความสัมพันธ์ระหว่างตนกับรัชทายาท นางรู้สึกว่าฐานะล่อแหลม เป็นที่จับจ้องของทุกฝ่าย จึงอย่าให้เอิกเกริกจะดีกว่า

เดิมฮ่องเต้ก็ไม่ยินยอม แต่สุดท้ายก็พ่ายให้แก่ความยืนกรานของพระสนมเฉินเฟย จึงตัดสินใจไม่เชื้อเชิญเหล่าขุนนางทั้งหลาย แค่ปิดตำหนักฉลองก็เพียงพอ

วันนี้อากาศไม่สู้ดีนัก เดิมทีพระสนมเฉินเฟยคิดจะไปคนเดียว ที่ไหนได้ขณะออกจากตำหนัก หูก็ได้ยินเสียงบ่นอ้อแอ้ของเด็กน้อย

[วันนี้เป็นวันครบเดือนของเรา ซ้ำยังมีพิธีแต่งตั้งอีก ทำไมไม่พาเราไปด้วย ท่านแม่ไม่รักเราแล้วหรือ ฮือ ๆ ๆ...]

พระสนมเฉินเฟยได้ยินดังนี้ ก็หยุดชะงักที่หน้าประตู หันหน้ามามองลู่ซิงหว่าน พร้อมกับถอนหายใจ “พาหวานหว่านไปด้วยก็ได้มั้ง เพราะเป็นพิธีแต่งตั้งของนางเอง”

[เย้ ท่านแม่น่ารักที่สุดในโลกเลย!” ]

พระสนมเฉินเฟยยิ้มอย่างอ่อนใจ แต่ก็มีความสุขนัก

ในวันนี้ ลู่ซิงหว่านในฐานะเจ้าของงาน ย่อมได้รับของขวัญมากมายหลายชิ้น

ถึงคราวที่พระสนมเต๋อเฟยจะให้ของขวัญ ลู่ซิงหว่านดูแล้วดูอีก ไม่เห็นจะมีของชอบซักอย่างหนึ่ง

[หึ นี่น่ะหรือผู้เป็นใหญ่ในวังหลัง มีแต่พวกเครื่องหยกแกะสลัก แล้วนั่นอะไรอีก? เครื่องกระเบื้องถ้วยโถโอชาม? เครื่องประดับเสื้อคลุม? ไม่เห็นจะเหมาะกับเราซักอย่าง พระสนมเต๋อเฟยขี้เหนียวแบบนี้ คงเพราะเอาเงินไปให้ลูกชายติดสินบนเหล่าขุนนางมากกว่า]

[พระสนมหลานเฟย? เป็นแม่ขององค์ชายรองใช่ไหม? ให้โสมร้อยปีมาหนึ่งต้น ไม่เลว ๆ ให้ท่านแม่ไว้บำรุงร่างกาย ข้าชอบพระสนมหลานเฟย]

[พระสนมให้อะไรมาอีก? เป็นภาพเขียนหรือนี่ ก็ดี ๆ ได้ยินว่าภาพเขียนของแคว้นฉู่ขายได้ราคาดี]

[สนมเยว่กุ้ยเหรินล่ะ? ไม่เลว ๆ...]

ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินเสียงวิจารณ์ของลูกน้อย จนไม่รู้จะโกรธหรือขำดี สรุปคือนอกจากของขวัญของพระสนมเต๋อเฟยแล้ว อย่างอื่นนางล้วนชอบทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เต๋อเฟยให้มา นั่นคือของล้ำค่าต่างหาก ถึงว่าเด็กก็คือเด็ก มักใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งเสมอ

แต่ฮ่องเต้ก็จับคำพูดของลู่ซิงหว่านได้ประโยคหนึ่ง นั่นคือองค์ชายสามติดสินบนเหล่าขุนนาง

แสดงว่ายังมีหลายคนที่จ้องชิงบัลลังก์ของตนอยู่!

คงต้องให้อิ่งอีไปจับตาดูองค์ชายสามบ้างแล้ว

สุดท้าย ย่อมเป็นของขวัญจากมารดาบังเกิดเกล้าก็คือพระสนมเฉินเฟย ทันทีที่เห็นนางหยิบของออกมา พระสนมเต๋อเฟยนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็หัวเราะออกมา

“น้องหญิงเฉินเฟย เจ้านี่ช่างเชยซะจริง ๆ เลยนะ ให้ของเป็นทองคำหมด จวนติ้งกั๋วโหวมีความชอบเช่นนี้เองหรอกหรือ?”

[ว้าว ท่านแม่รู้ใจข้านัก กำไลทอง สร้อยทอง ปิ่นทอง และยังมีจี้ทอง เป็นสิ่งที่ข้าชอบทั้งนั้น]

[นังตัวดีเต๋อเฟย ข้าชอบซะอย่างมีอะไรไหม เจ้าจะไปรู้อะไรได้]

พลางโบกไม้โบกมือขึ้น ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมอกของแม่นม

ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินคำพูดของลู่ซิงหว่าน ก็ได้หัวเราะออกมา

พระสนมเต๋อเฟยเห็นฮ่องเต้อารมณ์ดี ก็ยิ่งได้ใจมากขึ้น “ฝ่าบาทก็ทรงเห็นว่าเฉินเฟยความคิดเชยมากใช่ไหมเพคะ เมื่อก่อนหม่อมฉันยังนึกว่านางมีความคิดความชอบที่ดีกว่านี้เสียอีก!”

“เจ้าจะรู้อะไรได้” ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่อยากสนใจนาง “ดูซิว่าหย่งอันพอใจแค่ไหน เมิ่งฉวนเต๋อ สั่งการลงไป สั่งทำคทาทองคำให้แก่หย่งอัน เอารูปแบบที่หรูหราที่สุด”

กล่าวจบพลางหันไปทางแม่นม “มา อุ้มหย่งอันมาทางนี้”

จากนั้นก็รับตัวลู่ซิงหว่านไป “ขอเพียงหย่งอันชอบก็พอ”

[เสด็จพ่อช่างรู้ใจเรานัก ทั้งเสด็จพ่อและท่านแม่ต่างดีต่อเราจริงๆ เสด็จพ่อ ข้าจะรีบหัดพูดให้เร็ว และรีบบอกความจริงให้ท่านได้รู้ เพื่อให้ข้าได้อยู่อย่างสบาย...เอ๊ย ไม่ใช่ เพื่อปกป้องเสด็จพ่อของข้าไว้]

“ฮ่าๆๆๆ...” ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเด็ก ก็ยิ่งเบิกบานในพระทัย

พระสนมเต๋อเฟยเห็นฮ่องเต้ทรงเบิกบานเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งโกรธแค้นพระสนมเฉินเฟยมากยิ่งขึ้น แต่ภายนอกไม่แสดงสีหน้าให้เห็น กลับยิ้มแย้มแจ่มใส “ที่แท้องค์หญิงหย่งอันชอบทองคำนี่เอง เพราะหม่อมฉันไม่ทันคิดเองเพคะ”

ข้างในตำหนักกำลังอบอวลด้วยความรัก จู่ๆ เมิ่งฉวนเต๋อก็มารายงาน “ทูลฝ่าบาท ข้างนอกมีฝนตกพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ต้าฉู่รีบยืนขึ้น พร้อมรับตัวลู่ซิงหว่านจากมือแม่นม เดินอาด ๆ ออกไปข้างนอก

“หย่งอันช่างเป็นผู้นำโชคโดยแท้ วันที่เกิดมามีฝนตก วันนี้ก็มีฝนตกอีก ตกมาสองรอบเช่นนี้ ภัยแล้งของแคว้นต้าฉู่ก็ได้คลี่คลายแล้ว”

พระสนมเต๋อเฟยยืนอยู่ในมุมมืด อดไม่ได้ที่จะทำตาขวางใส่พระสนมเฉินเฟยอีก

ขณะเดียวกันนี้ ด้านนอกวังหลวง

แคว้นต้าฉู่ประสบภัยแล้งมาหลายเดือน ไม่นึกว่าพอองค์หญิงหย่งอันประสูติ ก็มีฝนเทลงมาอย่างหนัก และวันนี้ก็ยังตกซ้ำอีกครั้ง การเพาะปลูกในปีนี้ค่อยมีความหวังขึ้นหน่อย ทันใดนั้นก็มีคนคุกเข่าคำนับมาทางวังหลวง

“องค์หญิงหย่งอันคือเซียนที่สวรรค์ส่งมา คุ้มครองให้แคว้นต้าฉู่เราอยู่ยั้งยืนยง”

“ฝ่าบาทก็ทรงปรีชาสามารถ จะช่วยให้บ้านเมืองมั่นคง”

ข่าวนี้มาถึงวังหลวง ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยิ่งโปรดปรานลู่หว่านซิงมากขึ้น และแต่งตั้งให้พระสนมเฉินเฟยขึ้นเป็นพระสนมขั้นกุ้ยเฟยทันที

พระสนมเฉินเฟยกลับรู้สึกไม่สบายใจนัก

“ทุกวันนี้พระสนมเต๋อเฟยเห็นข้ากับรัชทายาทเหมือนดั่งเสี้ยนหนาม ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้อาจจะเพิ่มความแค้นให้แก่พระสนมเต๋อเฟยอีก” พระสนมเฉินเฟยรับราชโองการแล้ว กำลังหยอกล้อกับลู่ซิงหว่านอยู่ในตำหนัก ซึ่งมีเพียงจิ่งซินและจิ่นอวี้สองคนอยู่เคียงข้าง จึงได้เอ่ยปากด้วยความกลัดกลุ้ม

“พระสนมอย่าได้เป็นกังวลเลยเพคะ ยังไงเราก็ยังมีจวนติ้งกั๋วโหวคอยหนุนหลังอยู่นะเพคะ!” จิ่นซินเอ่ยปากกล่าวปลอบใจ

[ท่านแม่ผู้โง่เขลาของข้า ท่านเป็นแม่ขององค์หญิงหย่งอัน และเป็นน้าขององค์รัชทายาทอีก ยังไงพระสนมเต๋อเฟยคงไม่ปล่อยไว้อยู่แล้ว]

[ถึงท่านอดทนก็ไม่มีประโยชน์ นางยิ่งได้คืบจะเอาศอกมากขึ้นไม่ใช่หรือ?]

[ในหนังสือนิทานบอกว่าสมัยก่อนท่านก็เคยไปออกศึกไม่ใช่หรือ? ทำไมพอแต่งงานกับเสด็จพ่อแล้วกลับกลายเป็นคนขี้ขลาดเสียเล่า? เอาความกล้าหาญในสนามรบออกมาหน่อยซี่ ให้นางได้เห็นพิษสงบ้าง]

พระสนมเฉินเฟยเมื่อได้ยินคำพูดของลู่ซิงหว่าน ก็ได้ถอนหายใจลึก เหตุผลนี้ตนก็เข้าใจดี เพียงแต่ท่านพ่อท่านแม่เคยกำชับกับตนไว้ อยู่ในวังหลวง อย่าทำตัวเด่นมากจะเป็นภัย

จึงไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้อีก ได้แต่อุ้มลู่ซิงหว่านแล้วหยอกเล่นสักพัก จนนางหิวนมจึงส่งต่อให้แม่นมไปดูแล

เดิมทีพระสนมเฉินเฟยก็คิดจะป้อนนมด้วยตนเอง แต่เพราะตอนคลอดได้ทำให้เสียสุขภาพไปมาก บวกกับคิดมากในเรื่องหลายอย่าง จึงทำให้น้ำนมไม่ค่อยเพียงพอ จึงจำใจต้องใช้วิธีนี้แทน

ดีที่หวานหว่านเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย บอกให้นางเข้าใจ ไม่นานนางก็ยอมรับแม่นมได้

เหตุเพราะพระสนมเฉินเฟยได้เลื่อนเป็นกุ้ยเฟย ทำให้สถานการณ์ในวังหลังยิ่งตึงเครียด จวบจนวันนี้ ฮ่องเต้เดินฮึดฮึดมาถึงหน้าตำหนักชิงอวิ๋น

“ฝ่าบาททรงกริ้วเรื่องอะไรหรือเพคะ?” พระสนมเฉินเฟยเห็นฮ่องเต้เดินหน้าบึ้งเข้ามา จึงถามอย่างปลอบประโลม

“เหยียนหลินจือแห่งสำนักโหรหลวง วันนี้ส่งฎีกามา บอกว่าหย่งอันเกิดมาพร้อมกับปานดอกบัวพุทธบูชา และตอนเกิดก็มีปรากฎการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า คาดว่านั่นคือสัญญาณของปีศาจ ให้ข้าสั่งประหารนางซะ” กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยังทรงกริ้วไม่หาย

“อะไรนะเพคะ?” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยตกตะลึงพรึงเพริด

ลู่ซิงหว่านยิ่งกลายเป็นพูดจาละล่ำละลัก

[คงเป็นแผนของเสนาบดีชุยที่อยากให้เราตายสินะ แล้วค่อยบอกว่าท่านแม่เป็นตัวกาลกิณี หนอย! ตอนคลอดเล่นงานเราไม่ได้ ตอนนี้ยังมาจองเวรเรากับท่านแม่อีก ช่างเป็นคนเลวร้ายจริง ๆ]

ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินดังนี้ ก็คล้ายกับทรงนึกอะไรได้บางอย่าง

เพราะเหยียนหลินจือแห่งสำนักโหรหลวงผู้นี้ ก็คือลูกศิษย์ของเสนาบดีชุยนั่นเอง

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status