Share

บทที่ 9

“ชิงเหยียน ข้ายังมีธุระต้องขอตัว” ภายใต้คำเตือนของลู่ซิงหว่าน ฮ่องเต้ต้าฉู่เริ่มตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหยียนหลินจือกับเสนาบดีชุย เมื่อคิดได้ดังนี้ ก็รีบเสด็จออกจากตำหนักชิงอวิ๋น ตรงไปยังห้องทรงอักษรทันที

“อิ่งอี เจ้าไปสืบเสนาบดีชุยกับองค์ชายสาม” ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่คาดคิดว่า ราชสำนักของตนจะวุ่นวายถึงเพียงนี้ เริ่มจากหรงอ๋องสมคบศัตรูหวังก่อกบฏ จนมาถึงลูกชายของตนที่คิดปองร้ายต่อพี่น้อง

หากเป็นดั่งที่หวานหว่านพูดจริง ตนก็น่าจะอยู่ได้อีกไม่เกินสามปี

บัดนี้เรื่องหรงอ๋องยังไม่ทันสะสาง ก็มีเรื่ององค์ชายสามโผล่มาอีก ช่างน่าปวดหัวจริงๆ

หากเป็นส่วนตัวยังพอว่า แต่แคว้นต้าฉู่ถ้าไปอยู่ในมือหรงอ๋องหรือไม่ก็องค์ชายสาม คงจะประสบกับความหายนะเป็นแน่

ที่แล้วมาหรงอ๋องถูกเสด็จแม่ตามใจจนเสียคน วัน ๆ เอาแต่ดื่มสุราเคล้านารี พูดให้น่าเกลียดหน่อยก็คือลูกล้างผลาญดี ๆ นั่นเอง

ในขณะที่องค์ชายสามนิสัยเหี้ยมโหด ความสามารถไม่ถึงแต่ทะเยอทะยาน หากแผ่นดินไปอยู่ในมือเขา ก็คงไม่ได้ยั่งยืนแน่นอน

ถึงตอนนั้น เกิดศึกสงครามรอบด้าน ที่รับเคราะห์คงไม่พ้นเหล่าราษฎร ยังไม่รู้ว่าจะบาดเจ็บล้มตายอีกเท่าไหร่

ไม่ถึงครึ่งวัน อิ่งอีก็ได้ข้อมูลเกี่ยวกับเสนาบดีชุยมาหมด

ใจความก็มีเพียงกระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น

เสนาบดีชุยไม่ได้คิดซ่องสุมกำลังแต่อย่างใด เพียงแต่ลูกศิษย์เขาหวังสนับสนุนให้องค์ชายสามขึ้นครองราชย์ จึงได้ลักลอบทำเรื่องบางอย่าง และองค์ชายสามก็แค่ไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ตามปกติเท่านั้น ไม่มีอะไรพิเศษ

ฮ่องเต้ต้าฉู่ยังไม่ปักใจเชื่อนัก หากบอกว่าเสนาบดีชุยเป็นคนซื่อสัตย์ ยังพอเชื่อได้บ้าง แต่สำหรับองค์ชายสาม นิสัยชอบชิงดีชิงเด่นนัก จะไม่มีพิรุธให้จับผิดได้อย่างไร

แต่ตอนนี้ยังทรงมึนงงอยู่ ไม่รู้จะเริ่มสะสางอย่างไรดี จึงเสด็จไปตำหนักชิงอวิ๋นอีกครั้ง

“เมื่อวานข้าได้สืบเรื่องเสนาบดีชุย ปรากฏว่าประวัติเขาขาวสะอาดยิ่ง” ฮ่องเต้ต้าฉู่จงใจพูดเรื่องประวัติเสนาบดีชุยต่อหน้าลู่ซิงหว่าน

“ฝ่าบาทเพคะ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเบาตักเตือน “ฝ่ายในห้ามยุ่งเรื่องราชกิจ”

ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เพียงแค่โบกมือและกล่าวตอบ “ไม่เป็นไร เราแค่คุยเล่นเท่านั้น”

พระสนมเฉินกุ้ยเฟยไม่กล้าทูตตอบอีก

[ก็แค่ปกปิดได้ดีเท่านั้น เสนาบดีชุยเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก เรื่องบางอย่างไม่ต้องลงมือเองก็ได้ และยิ่งไม่ให้องค์ชายสามกับพระสนมเต๋อเฟยมีส่วนร่วมด้วย]

[เสด็จพ่อไปสอบถามกุนซือที่อยู่ข้างกายเขาก็จะรู้ ชื่อว่าหนิงซวี่ มีเรื่องผ่านมือเขาหลายอย่างเลยทีเดียว!]

[ใช่แล้ว มีอีกคนชื่อเสี้ยหลิน คอยรับหน้าแทนเสนาบดีชุยเกือบทุกเรื่อง พูดง่าย ๆ ก็คือเอาไว้เป็นแพะรับบาปแทน]

[แต่พระสนมเต๋อเฟยก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่านางเป็นคนดีจริงหรือแกล้งดีกันแน่]

[ยังมีพี่ชายรัชทายาทที่แสนดีของข้า ก็ตายเพราะน้ำมือหนิงซวี่ มันช่างเลวร้ายจริงๆ เลวมาก...]

คำพูดเหล่านี้พูดออกมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ก็ล้วนตกใจเป็นอย่างมาก แต่สีหน้ายังคงเป็นปกติอยู่

เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ได้รู้ ว่าแท้จริงแล้วรัชทายาทจะตายก่อนตนเสียอีก นึกถึงความสุภาพอ่อนโยนของลูกชายคนนี้ ฮ่องเต้ก็ได้แต่ถอนใจ เพราะเทียบกับองค์ชายสามแล้ว เขายังดูดีกว่ามากนัก

ไม่ว่าด้านไหนก็ล้วนเหนือกว่าองค์ชายสามทั้งสิ้น

“ไม่รู้เพราะเสนาบดีชุยปกปิดได้ดี หรือตระกูลชุยเป็นผู้บริสุทธิ์จริงกันแน่” ฮ่องเต้ต้าฉู่กล่าวพร้อมกับถอนใจ พระสนมเฉินกุ้ยเฟยยังคงไม่เอ่ยปาก นางรู้จักการวางตัวเสมอ

[ท่านแม่ ถึงท่านหลีกเลี่ยงจะมีประโยชน์อะไร? ท่านเป็นน้าแท้ ๆ ของรัชทายาทเชียวนะ หากทางนั้นคิดชิงบัลลังก์จริง มีหรือจะปล่อยท่านไว้]

[ตามที่หนังสือนิทานเขียนไว้ ท่านตาก็ตายเพราะน้ำมือเสนาบดีชุย เลวมาก เลวจริง ๆ]

ลู่ซิงหว่านอายุเพิ่งจะเดือนเศษเท่านั้น ปกติจะนอนมากกว่า ไม่ทันไรก็หลับสนิทไปอีก

ฮ่องเต้ต้าฉู่แม้จะร้อนใจอยากไปสืบคนที่หวานหว่านเอ่ยถึง แต่ก็จำต้องอดทนไว้อยู่ปลอบใจพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก่อน “อีกไม่นานไทเฮาก็จะกลับมาแล้ว ทูตของแคว้นต้าลี่ก็จะตามมาด้วย หมู่นี้อาจมีเรื่องยุ่งมากมาย ข้าเกรงว่า...”

“ฝ่าบาทควรจะเสด็จไปหาสนมอื่นบ้างนะเพคะ วัน ๆ ทรงขลุกอยู่กับหม่อมฉัน ทำราวกับหม่อมฉันได้ทำคุณไสยต่อฝ่าบาท” หลายวันนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ประทับอยู่แต่ในตำหนักชิงอวิ๋น อย่าว่าแต่เหล่าสนมเลย แม้แต่ขุนนางก็เริ่มจะบ่นบ้างแล้ว

ฮ่องเต้ต้าฉู่มองดูพระสนมเฉินกุ้ยเฟย พลางตบไหล่นางเบา ๆ และรับสั่งต่อ “เจ้ารู้กาลเทศะเสมอ”

ลู่ซิงหว่านที่อยู่ในเปลพลันลืมตาขึ้นมา

[ท่านแม่อย่าไปเชื่อเขา ผู้ชายปากหวานทั้งนั้น ตอนอยู่กับเต๋อเฟยก็ชมว่านางรู้กาลเทศะ อยู่กับหลานเฟยก็ชมนางเช่นนี้เหมือนกัน]

จากนั้นก็ผล็อยหลับไปอีก

เหลือเพียงฮ่องเต้ต้าฉู่ที่หน้าเง้าหน้างอ ดีที่เฉินกุ้ยเฟยไม่ได้ยินเสียงพูดของหวานหว่าน หาไม่แล้วข้าคงวางตัวลำบากแน่

ในขณะที่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับคิดอีกอย่าง ดีที่มีตนคนเดียวที่ฟังเสียงในใจของหวานหว่านได้ หาไม่นางกับลูก ให้มีสิบชีวิตก็ไม่พอให้ประหารอย่างแน่นอน

ส่วนทางด้านตำหนักฉางชิว พระสนมเต๋อเฟยได้รับรายงาน ว่าฮ่องเต้เสด็จไปตำหนักชิงอวิ๋นด้วยความกริ้ว จากนั้นก็ออกไปอย่างรีบเร่ง ก็นึกว่าฮ่องเต้ทรงกริ้วพระสนมเฉินกุ้ยเฟย ทำให้นางรู้สึกดีใจนัก

แต่กลับถูกเสนาบดีชุยขวางไว้

“ทำไมท่านพ่อไม่ยอมให้ข้าไปล่ะเจ้าคะ ข้าเข้าวังมาหลายปี ตอนนี้มีลูกชายสองคน เดิมคิดว่าตำแหน่งฮองเฮาคงจะไม่ไปไหน แล้วซ่งชิงเหยียนมีอะไรดี เข้าวังมาเพียงสามปี ปุบปับได้เป็นพระสนมยังพอว่า จนวันนี้ก็แค่ได้ลูกสาวคนหนึ่ง ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นพระสนมกุ้ยเฟยแล้ว ข้าจะทนไหวได้ยังไงล่ะเจ้าคะ!”

พระสนมเต๋อเฟยไม่พอใจเฉินเฟยมานาน ยิ่งบัดนี้นางอยู่เหนือกว่าตนอีก ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

“ก็ใครให้พี่สาวนางคืออดีตฮองเฮาเล่า?” เสนาบดีชุยดูไม่รีบร้อน นั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับจินน้ำชา

“เป็นฮองเฮาแล้วยังไงล่ะ สุดท้ายก็ไม่พ้นตายด้วยมือข้า!”

“พระสนมระวังคำพูดหน่อย!” เสนาบดีชุยได้ยินพระสนมเต๋อเฟยเกล่าวเช่นนี้ ก็รีบยืนขึ้น

พระสนมเต๋อเฟยจึงได้รีบหุบปาก พลางมองหน้าเสนาบดีชุย “ท่านพ่อมาวันนี้มีธุระอะไรหรือเจ้าคะ?”

“ฝ่าบาทส่งคนมาสืบเรื่องของข้าแล้ว” เสนาบดีชุยตอบอย่างจริงจัง

“อะไรนะ? แล้วมีเบาะแสหรือเปล่าเจ้าคะ” พระสนมเต๋อเฟยตกใจมาก “อยู่ดีๆ ทรงสืบมาถึงท่านพ่อได้ยังไงกัน?”

“ข้าน่ะไม่มีปัญหาหรอก ห่วงก็แต่องค์ชายสาม อะไรที่สะสางเรียบร้อยเกินไป ผลอาจจะไม่สู้ดีนัก” เสนาบดีชุยกล่าวอย่างเป็นกังวล

“แล้วข้า...”

“เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องของข้าจะไม่มีทางพัวพันถึงเจ้าเด็ดขาด ตระกูลเราใครก็ล้มได้ เว้นเพียงแต่เจ้าเท่านั้น”

เสนาบดีชุยกล่าวจบ แล้วจึงลดเสียงต่ำลง “ถ้าองค์ชายสามเป็นอะไรไป ในมือเจ้ายังมีองค์ชายห้าอีกคน”

พระสนมเต๋อเฟยได้ยินเข้าก็ถอนหายใจ “ลูกคนนี้ไม่เอาไหนนัก”

เสนาบดีชุยมองหน้านางพร้อมกับส่ายหน้า “พระสนม งานนี้มีความเสี่ยงสูง เราไม่ควรฝากความหวังไว้ที่คนคนเดียว”

พระสนมเต๋อเฟยแม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังพยักหน้า ไม่กล้าโต้เถียงบิดา

“ทางด้านเฉินกุ้ยเฟยให้วางใจได้ รอให้ข้าจัดการจวนติ้งกั๋วโหวซะก่อน แล้วนางกับรัชทายาทก็จะไปพร้อมกันทั้งคู่” กล่าวจบก็คล้ายกับนึกอะไรได้อีก “ยังมีองค์หญิงหย่งอันอีกคน”

“ที่พ่อมาก็เพื่อจะเตือนเจ้า อย่าได้นินทาว่าร้ายพระสนมเฉินกุ้ยเฟยต่อหน้าฝ่าบาทเป็นอันขาด ตรงข้ามยังต้องยกยอนางไว้อีก” เสนาบดีชุยกล่าวกำชับ

เพราะรู้ว่าลูกสาวคนนี้ไม่มีอิทธิพลอะไร หลายปีมานี้เพราะตนคอยเกื้อหนุน จึงได้ขึ้นถึงตำแหน่งพระสนม

“ลูกเข้าใจดีเจ้าค่ะ และต้องดึงให้นางมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัชทายาทเยอะ ๆ ด้วย”

เสนาบดีชุยค่อยเบาใจลง ออกจากวังไปจัดการคนที่ถูกฮ่องเต้ตรวจสอบอยู่

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status