ฮ่องเต้ต้าฉู่พลิกไปได้เพียงแค่สองหน้าก็เห็นว่าภายในนั้นเรื่องหนึ่งอยู่ ไม่นานมานี้ตอนที่พระสนมเฉินเฟยคลอดบุตรก็เป็นชุยเหวินที่ซื้อตัวสนมโหรวกุ้ยเหริน และใช้ครอบครัวของนางมาข่มขู่ให้สนมโหรวกุ้ยเหรินออกหน้าซื้อตัวแม่นมทำคลอดผู้นั้นเห็นดังนี้เขาก็โกรธเสียจนปาสาส์นกราบทูลขอราชการนั้นออกไป “เขากลับรู้ว่าต้องทำให้บุตรสาวของตนเองไร้มลทิน”เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่กริ้วแล้ว คนของกรมสอบสวนก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรต่อ“จับหนิงซวี่ได้หรือยัง?” ภายในใจของฮ่องเต้ต้าฉู่รู้สึกกลัดกลุ้มเพราะยังนึกไม่ออกว่าจะจัดการอย่างไรดี“ยามนี้ได้นำตัวคนไปส่งถึงศาลต้าหลี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ โดยได้จัดคนดูแลเป็นเฉพาะการ และไม่ได้ใช้วิธีทรมานแต่อย่างใด เพียงแค่ป้องกันไม่ให้เขาฆ่าตัวตายเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” แต่ไหนแต่ไรใต้เท้าหรงก็จัดการเรื่องได้อย่างน่าเชื่อถืออยู่แล้วฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินก็พยักหน้า “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”ความผิดที่ชุยเหวินกระทำแม้จะเป็นสิ่งที่ไม่น่าให้อภัย แต่ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับนึกถึงสิ่งที่หลายปีมานี้เขาทุ่มเททำเพื่อแคว้นต้าฉู่ ชั่วขณะก็ไม่รู้ว่าควรจะลงโทษอย่างไรดีฮ่องเต้ต้าฉู่ฟังเมิ่งฉวนเต๋อเอ่ยถึงปฏิกิริยาขอ
เมื่อฮ่องเต้ต้าฉู่กลับมายังห้องหนังสือส่วนพระองค์ ก็ได้ให้เมิ่งฉวนเต๋อไปเรียกคนของกรมสอบสวนมา“สืบเรื่องเงินบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยแล้งของปีนี้ที่จัดสรรไปว่าภายในมีผู้ทุจริตหรือไม่” ฮ่องเต้ต้าฉู่พูดออกมาอย่างง่ายดายด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความลังเลใต้เท้าหรง และคนอื่น ๆ ย่อมเข้าใจดีว่าที่ฮ่องเต้ต้าฉู่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในยามนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเสนาบดีชุย ในขณะนั้นจึงได้สืบไปในทิศทางนี้ทันทีเมื่อชัดเจนเรื่องทิศทางแล้ว บวกกับการทำงานที่รวดเร็ว และเฉียบขาดของกรมสอบสวน ไม่ถึงครึ่งวัน สาส์นฉบับหนึ่งก็ถูกเอามาวางไว้ที่โต๊ะหนังสือของฮ่องเต้เงินบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยหนึ่งแสนตำลึง ชุยเหวินเพียงแค่ผู้เดียวก็ทุจริตไปแล้วห้าหมื่นตำลึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่จัดสรรไปแต่ละรอบว่ามีหลงเหลือมาถึงมือของราษฎรจริง ๆ อยู่เท่าไหร่?เมื่อเห็นดังนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ไม่มีความลังเลอีกต่อไป “เมิ่งฉวนเต๋อ ไปเรียกเว่ยเฉิงมา”ในขณะนั้นก็ได้รับสั่งให้คนของทหารราชองครักษ์ และกรมสอบสวนไปตรวจค้น รวมถึงยึดทรัพย์ที่บ้านตระกูลชุย คนที่เกี่ยวข้องให้นำไปขังไว้ที่ศาลต้าหลี่เป็นการชั่วคราว ส่วนข้ารับใช้บ้างก็เน
[ทูตของแคว้นเยว่เฟิงจะมาถึงแล้วอย่างหรือ? หรงอ๋องก็จะได้ตัดสินใจครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับรายละเอียดการกบฏกับทูตนั้นแล้ว เสด็จพ่อพระองค์รีบตื่นสิ พระองค์รีบตื่นเร็วเข้า น้องชายคนนั้นของพระองค์ไม่ใช่คนดีอะไรเลย!][ฮือ ๆ ๆ ทำไมข้าถึงได้น่าสงสารถึงเพียงนี้! เพิ่งเกิดก็โดนสนมโหรวกุ้ยเหรินลงมือสังหาร สามเดือนถูกพระสนมเต๋อเฟยลงมือ ยังไม่ถึงหนึ่งปีก็จะถูกหรงอ๋องลงมืออีกแล้วหรือเนี่ย?]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยบย่อมรู้เรื่องที่พ่อของตนไปยังห้องทรงอักษรอยู่แล้ว แม้ว่าหวานหว่านจะเอ่ยจนดูน่ากลัว แต่คิดว่ามีการเตือนของบิดา ฝ่าบาทก็คงจะตื่นตัวอยู่ และคงไม่ถึงกับที่จะตกไปอยู่ในหลุมพรางของหรงอ๋องหรอกฮ่องเต้ต้าฉู่ทำเป็นเงียบสงบแต่กลับตบไปที่มือของพระสนมเฉินกุ้ยเฟยโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “แต่ไหนแต่ไรเจ้าก็เป็นคนรู้กาลเทศะอยู่สมอ”[เหอะ เด็กดีไม่มีขนมกินหรอกนะ][แต่เสด็จพ่อก็ดีกับท่านแม่ไม่เบาเลยนะ มักจะมาอยู่เป็นเพื่อนนางเสมอ][อยู่ดี ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า หนิงอ๋องทำเรื่องใหญ่อะไรลงไปนะ จำไม่ค่อยได้แล้ว…]ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินภายในใจก็เป็นกังวลขึ้นมา หนิงอ๋องทำเรื่องอะไรที่ทำให้ตนเป็นห่วงอีก ดูท่าแล้วภาย
เพราะพระสนมเฉินกุ้ยเฟยเข้าวังมาช้า ดังนั้นตั้งแต่ที่ฮองเฮาสิ้นพระชนม์จึงมีพระสนมเต๋อเฟยเป็นผู้จัดการดูแลเรื่องต่าง ๆ ของวังหลังทั้งหกยามนี้พระสนมเต๋อเฟยถูกลดขั้น จึงเป็นพระสนมเฉินกุ้ยเฟยที่เข้ามารับภาระต่อ โดยมีพระสนมหลานเฟย มารดาขององค์ชายสองคอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ เพราะเหตุนี้เมื่อมีคนใหม่เข้ามาในวัง จึงจะต้องมาคาราวะต่อพระสนมเฉินกุ้ยเฟยก่อนดังนั้นวันนี้ตำหนังชิงอวิ๋นจึงคึกคักเป็นพิเศษหลังจากที่สนมหนิงผิน และสนมเล่อกุ้ยเหรินคาราวะเหล่าสนมตามกฎระเบียบแล้ว พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงเอ่ยสั่งสอนตามระเบียบออกมาสั้น ๆ ไม่กี่ประโยค จากนั้นคนอื่น ๆ ถึงได้เอ่ยพูดตามกัน“สนมเล่อกุ้ยเหรินเป็นบุตรสาวของรองหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดิน บิดาของเจ้าเป็นถึงผู้ที่ออกแรงในการดึงเสนาบดีชุยลงมา หากไม่ใช่บิดาของเจ้า และคนอื่น ๆ ที่ดึงเสนาบดีชุยลงมา วันนี้ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดก็ยังเป็นพระสนมเต๋อเฟยผู้นั้น!” ผู้ที่เอ่ยคือสนมซูผินมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์หญิงสอง และองค์หญิงเจ็ด ในตอนที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ยังเป็นองค์รัชทายาท ข้างกายก็มีเพียงแค่อดีตฮองเฮา และคนตระกูลชุยเพียงแค่สองคนภายหลังฮ่องเต้ต้าฉู่ขึ้นค
สนมหนิงผิน และสนมเหรินกุ้ยเหรินกล่าวขอบพระทัยพร้อมกัน จากนั้นจึงได้พากันออกไปจากตำหนักชิงอวิ๋นแต่ลู่ซิงหว่านกลับยังติดอยู่ในพะวงความคิด[แล้วสนมหนิงผินคือใครอีกเนี่ย? ในนิยายเคยมีปรากฏออกมาเหรอ? ทำไมสนมเล่อกุ้ยเหรินถึงเคยปรากฏออกมาในนิยาย แต่สนมหนิงผินกลับไม่เคยล่ะ? ]พระสนมเฉินกุ้ยเฟยเห็นว่าลู่ซิงหว่านขมวดหัวคิดเล็ก ๆ แล้วก็ยังบ่นพึมพำอยู่ในใจ ด้วยกลัวว่านางจะเหนื่อยจึงได้รีบอุ้มนางขึ้นมา “หวานหว่าน แม่พาเจ้าออกไปเล่นดีไหม?”[จะได้ออกไปเล่นอีกแล้วเหรอ ? ท่านแม่เยี่ยมจังเลย!]เมื่อเห็นว่าความสนใจของหวานหว่านถูกเบี่ยงเบนไป พระสนมเฉินกุ้ยเฟยจึงได้เอ่ยสั่ง “จิ่นอวี้ เก็บของหน่อย พวกเราจะไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงสักหน่อย”เมื่อครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก็นึกอะไรขึ้นได้เลยออกคำสั่งกับจิ่นซิน “จิ่นซิน ไปเชิญซื่อจื่อเผยมาหน่อย ถึงยังไงก็เป็นคำสั่งของไทเฮา”ด้วยเหตุนี้คนกลุ่มหนึ่งจึงมุ่งหน้าไปที่อุทยานหลวงด้วยกันยามบ่ายของวันนี้ วังหลังก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาหนึ่งเรื่องหลายวันก่อน สนมฟางกุ้ยเหรินได้รับการวินิจฉัยจากหมอหลวงว่าทรงตั้งครรภ์ทั้งยังมีชีพจรครรภ์ที่ไม่มั่นคง จึงได้มีพระสนมเต๋อเฟยเป
ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินบุตรสาวมองตนเองเช่นนี้จึงได้รีบเอ่ยปาก “เจ้าไม่ต้องมาร้องไห้คร่ำครวญที่นี้ เรื่องราวยังไม่ทันได้มีบทสรุป การใส่ร้ายพระสนมกุ้ยเฟยถือเป็นโทษร้ายแรง”[เอ๊ะ นึกไม่ถึงเลยว่าเสด็จพ่อผู้นี้ของข้าจะมาเข้าใจ และมีเหตุผลเพียงนี้? ]แม้แต่พระสนมเฉินกุ้ยเฟยก็อดมองไปทีฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ได้“ฝ่าบาท” สนมฟางกุ้ยเหรินเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่เป็นเช่นนี้ ท่าทีก็ลดลงมาเป็นครึ่งแล้วจึงได้รีบคุกเข่าลงไป “ฝ่าบาท หากไม่ใช่เพราะว่านางกำนัลข้างกายของหม่อมฉันพอเข้าใจเรื่องการแพทย์อยู่บ้าง แล้วพบว่ามีชวนหนิวซีอยู่ในกากยา ชวนหนิวซีนั้นเป็นยาขับเลือดทำให้เลือดไหลออกมาไม่หยุด หากใช้เป็นเวลานานทารกในครรภ์ของหม่อมฉันก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้ใช่ไหมเพคะ? ”“อ้อ? ” พระสนมเฉินกุ้ยเฟยกลับเอ่ยขึ้น “ไม่สู้เรียกนางกำนัลข้างกายของเจ้ามาให้พวกเรามาสอบถามต่อหน้าเลยจะดีกว่า”สนมฟางกุ้ยเหรินยังคิดจะเอ่ยปากพูดอะไรอีก แต่กลับถูกพระสนมเฉินกุ้ยเฟยหยุดเอาไว้ก่อน “กากยานั้นล่ะ ? น้องหญิงได้นำมาด้วยหรือเปล่า? ”แต่สนมฟางกลับมองไปที่ฝ่าบาท “นางกำนัลข้างกายผู้นั้นของหม่อมฉันกำลังยืนรออยู่ที่ด้านนอกของห้องทรงอักษร กากยาก็คือสิ
ลู่ชิงหว่านเหลือบมองเผยฉู่เยี่ยน[มีความรับผิดชอบสมกับเป็นคุณชายจวนอันกั๋วกง][ความรู้สึกที่มีคนคอยปกป้องนี่มันดีจัง รู้สึกปลอดภัยสุด ๆ ไปเลย!]เนื่องจากมีพลังวิญญาณสนับสนุน แม้ตอนนี้ลู่ซิงหว่านจะเพิ่งสามเดือนแต่ก็นั่งได้อย่างมั่นคงแล้วซึ่งนั่นทำให้ฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินกุ้ยเฟยอดไม่ได้คิดไม่ได้ว่า “สมกับที่เป็นเซียนกลับชาติมาเกิด ไม่เหมือนผู้ใดเลยจริง ๆ”ในงานเลี้ยงตอนรับที่พระราชวัง แม้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยจะพยายามห้ามไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่อาจกล่อมฮ่องเต้ต้าฉู่ได้สำเร็จ ขณะนี้ลู่ชิงหว่านนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับฮ่องเต้ต้าฉู่โดยมีนางกำนัลคอยปรนนิบัติ ทั้งคุณหนูและฮูหยินจวนขุนนางต่าง ๆ ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์“ได้ยินเขาลือกันมานานแล้วว่าฮ่องเต้ทรงรักและเอ็นดูองค์หญิงหย่งอันมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะรักมากถึงขนาดนี้!”“ก็ใช่น่ะสิ ก็ในเมื่อองค์หญิงหย่งอันเป็นดาวนำโชคของแคว้นต้าฉู่เรานี่นา!”ลู่ซิงหว่านไม่ได้ใส่สนใจคํานินทาเหล่านี้แม้แต่น้อย เพียงแต่บ่นในใจว่า[ตามในหนังสือนิทานแล้ว งานใหญ่แบบนี้มักต้องเกิดปัญหาวุ่นวายบางอย่างขึ้น][แต่งานเลี้ยงตอนรับที่พระราชวังหนนี้เกิดขึ้น
แต่แล้วองค์รัชทายาทแคว้นเยว่เฟิงกลับยังไม่ยอมแพ้ เขากล่าวต่อว่า “ในเมื่อข้าไม่มีวาสนากับคุณหนูหาน”เขาพูดจบก็หยุดไปครู่หนึ่ง และมองหานซีเยว่ด้วยสายตาลึกซึ้งแต่หานซีเยว่กลับไม่ได้มองเขาเลยลู่ซิงหว่านเห็นภาพนี้แล้วก็อดบ่นไม่ได้ว่า[น่าขยะแขยงจริง ๆ เลย แคว้นเยว่เฟิงเลือกคนแบบนี้มาเป็นองค์รัชทายาทได้เยี่ยงไรกัน ลามกเป็นที่สุด มีองค์รัชทายาทแบบนี้แล้วแคว้นจะยังคงอยู่ได้ยืนนานหรือ?]เมื่อได้ยินเสียงความคิดของลู่ซิงหว่านแล้วฮ่องเต้ต้าฉู่นึกขำในใจฮ่องเต้ทรงคิดในใจว่า สิ่งที่ลูกหวานหว่านพูดนั้นไม่เพียงแต่มีประโยชน์มากเท่านั้น แต่ยังไพเราะเสนาะหูเสียด้วยคุณหนูคุณชายทั้งหลายเห็นว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ที่มักจะมีสีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงกลัวเสมอ คืนนี้กลับเผลอยิ้มหลายครั้งก็รู้สึกว่าช่างน่าแปลกองค์รัชทายาทแคว้นเยว่เฟิงกล่าวต่อว่า “ให้ฮ่องเต้ต้าฉู่เป็นคนตัดสินพระทัยดีกว่า ขอฝ่าบาททรงยกองค์หญิงสักพระองค์หนึ่งให้มาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบก็ยังไม่ลืมที่จะประจบสอพลอต่ออีกหน่อย "ได้ยินมาว่าราชวงศ์ต้าฉู่มีองค์หญิงหลายพระองค์ เห็นท่าทางองค์รัชทายาทแห่งต้าฉู่สดชื่นสดใสเช่น