Share

บทที่ 0004

ฮ่องเต้ต้าฉู่มองดูลู่ซิงหว่านที่ชูกำปั้นน้อยสองข้าง

ใบหน้ากลมปุ๊กพร้อมกับผิวเนียนใส แต่เพราะดูดนมเร็วเกินไปจึงมีอาการสะอึกเล็กน้อย ท่วงท่าน่ารักจนใครเห็นก็หัวใจแทบละลาย

ทั้ง ๆ ที่เขามีลูกตั้งสิบกว่าคนแล้ว แต่ยังรู้สึกราวกับเพิ่งเป็นพ่อคนครั้งแรก สายตาจ้องมองลู่ซิงหว่านอย่างหลงใหล ประหนึ่งนอกจากนางแล้ว สิ่งอื่นใดในโลกก็ล้วนไม่อยู่ในสายตาอีก

โหรวกุ้ยเหรินคุกเข่าลงที่พื้น จับตาทุกอิริยาบถของฮ่องเต้ต้าฉู่ แววตาเต็มไปด้วยความริษยาและโกรธแค้น

เมิ่งฉวนเต๋อซึ่งสั่งให้ปิดปากโหรวกุ้ยเหรินเสีย เพราะเกรงว่าจะรบกวนลู่ซิงหว่านอีก มองเห็นแววตาของนางเข้า รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก รีบเตือนฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ โหรวกุ้ยเหรินผู้นี้...”

ฮ่องเต้ต้าฉู่หันหน้ามา แววตาอ่อนโยนพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ลากตัวผู้หญิงคนนี้ออกไปแล้วโบยให้ตายซะ ส่วนตระกูลเดิมของนางให้ปลดเป็นไพร่ เนรเทศไปอยู่หอหนิงกู่!”

“ฮือ ๆ ๆ...”

สนมโหรวกุ้ยเหรินเบิกตาโพลงคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และถูกลากตัวออกไปในสภาพที่ปิดปากสนิทแบบนั้น

[ว้าว! เสด็จพ่อทรงเท่ห์มากเลย!]

[แต่ว่า ในนิทานไม่ได้เขียนแบบนี้นี่นา โหรวกุ้ยเหรินไม่ได้ถูกโบยจนเสียชีวิต ตอนหลังยังได้เป็นถึงพระสนมโหรวกุ้ยเฟย ปัญหามันเกิดจากตรงไหนนะ ทำไมถึงแตกต่างขนาดนี้?]

ลู่ซิงหว่านกินนมจนอิ่มหนำแล้ว พลางหรี่ตาเล็กน้อย พร้อมกับใช้ความคิดอย่างหนัก

พระสนมเฉินเฟยมองดูท่าทางครุ่นคิดของเจ้าตัวน้อยด้วยความเอ็นดู พยายามไม่ฟังคำพูดวุ่นวายในใจของนางอีก

พลางหันหน้ามาพูดกับฮ่องเต้ “ฝ่าบาทเพคะ องค์หญิงเก้ายังไม่ได้ตั้งชื่อเลย ไม่ทราบฝ่าบาททรงคิดไว้หรือยังเพคะ?”

[ตั้งชื่อ?]

ได้ยินพระสนมกล่าวเช่นนี้ ลู่ซิงหว่านก็ได้ระงับความคิดที่ฟุ้งซ่าน พร้อมกับพูดในใจ

[บังเอิญว่าแซ่ประจำแคว้นต้าฉู่ก็คือลู่เหมือนกัน ถ้าชาตินี้เราได้ใช้ชื่อลู่ซิงหว่านต่อไปก็คงดีไม่น้อย]

ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินเสียงพูดของนาง พลางชะงักเล็กน้อยพร้อมกับรับสั่งต่อ “ชื่อของเหล่าองค์หญิงต่างมีอักษรซิงนำหน้า งั้นให้นางชื่อซิงหว่านก็แล้วกัน!”

ทันทีที่ได้ยิน พระสนมเฉินเฟยซึ่งกำลังคิดอยู่ว่าจะให้ลู่ซิงหว่านสมหวังได้อย่างไร ก็เกือบจะร้องอุทานออกมา

ทำไมจึงได้บังเอิญเช่นนี้ หรือว่า ฝ่าบาทก็ได้ยินเสียงพูดในใจของลูกเหมือนกัน?

แต่ว่า ดูสีหน้าของฮ่องเต้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ตนคงคิดมากไปเองกระมัง

“ฝ่าบาททรงตั้งชื่อให้ลูก ย่อมต้องดีอยู่แล้วเพคะ”

[อี๋ ลู่ซิงหว่าน ชาตินี้เรายังชื่อลู่ซิงหว่านเหมือนเดิม ช่างวิเศษจังเลย!]

[เสด็จพ่อช่างรู้ใจเราจริง ๆ!]

[เฮ้อ! น่าเสียดาย เสด็จพ่อที่ใจดีแบบนี้ แต่อยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น!]

“ปัง!”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของลู่ซิงหว่าน ฮ่องเต้ต้าฉู่ซึ่งเตรียมจะรับถ้วยน้ำชาจากเมิ่งฉวนเต๋อ ก็เกิดอาการมือสั่น จนถ้วยตกลงพื้น

“ข้าน้อยสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!”

“ฝ่าบาททรงโปรดให้อภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

เมิ่งฉวนเต๋อสีหน้าแปรเปลี่ยน แม้ว่าจะเป็นเพราะฮ่องเต้ไม่ได้รับถ้วยไว้เอง แต่ใครใช้ให้เขาเกิดมาเป็นบ่าวกันล่ะ?

“ออกไปเถิด!”

ฮ่องเต้ในยามนี้หมดอารมณ์จะสนใจเขาอีก เพราะมัวครุ่นคิดอยู่กับคำพูดของลู่ซิงหว่าน

อะไรคืออยู่ได้อีกไม่กี่ปี?

แปลว่าอีกไม่กี่ปีเขาต้องตายกระนั้นหรือ?

เพราะอะไร?

ฮ่องเต้ต้าฉู่ครุ่นคิดไปมา พระสนมเฉินเฟยที่อยู่ด้านข้างก็ร้อนใจเช่นกัน

แม้นางจะเข้าวังมาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีทายาท เคยตั้งครรภ์หลายครั้งก็ล้วนแต่แท้งหมด

ลู่ซิงหว่านเป็นลูกคนแรกที่ได้มาอย่างยากเย็น

หากฮ่องเต้อยู่ได้อีกไม่กี่ปีจริง งั้นชะตาของนาง ก็คงจะไม่ดีตามด้วย

ด้วยเหตุนี้ คนหนึ่งจึงแสร้งทำเป็นนอนหลับเพราะเพลียจากการคลอด

อีกคนเสแสร้งชิมน้ำชา แต่รอให้ลู่ซิงหว่านพูดต่อไป

[แต่จะว่าไป การตายของเสด็จพ่อเรา ก็น่าเห็นใจไม่น้อย]

[เพราะใครเลยจะไปนึกว่า หรงอ๋อง น้องชายที่เขาโปรดปรานที่สุด จะหวังยึดครองบัลลังก์ของพี่ชาย ลงมือกับพี่ชายตัวเองได้ลงคอกันล่ะ?]

[เสียดายเสด็จพ่อของข้า แท้จริงแล้วจะได้เป็นฮ่องเต้ที่ปรีชาสามารถของแคว้นต้าฉู่ ทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ขยายดินแดนไปกว้างขวาง แต่กลับต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือหรงอ๋องผู้ซึ่งทะเยอทะยานซ้ำยังไม่เอาไหนอีก]

[เหตุเพราะหรงอ๋องเป็นน้องชายร่วมมารดา จึงรักและตามใจเขามาก จนทำให้กลายเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูง แต่ไร้ความสามารถอะไรเลย]

[หากข้าจำไม่ผิดละก็ ในเวลานี้ หรงอ๋องได้สมคบกับไส้ศึกจากต่างแคว้น เตรียมการก่อกบฎหวังชิงบัลลังก์ จนแม้แต่ชุดมังกรก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้วล่ะมั้ง!]

ลู่ซิงหว่านคิดเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ในใจ โดยหารู้ไม่ว่า ความคิดของตนนั้น ได้ถูกฮ่องเต้ต้าฉู่และพระสนมเฉินเฟยได้ยินเข้าอย่างชัดเจน

ความคิดของพระสนมเฉินเฟยกลับมากลับมา ขณะมองดูฮ่องเต้ที่หันหลังให้ตน มือก็ถือถ้วยชาอยู่ แต่ไม่รู้คิดอะไรอยู่ในใจ นางรู้สึกว้าวุ่นใจยิ่งนัก

หรงอ๋องลู่เสี่ยวกับฮ่องเต้ต้าฉู่เป็นพี่น้องร่วมมารดา ก่อนที่อดีตฮองเฮาจะประชวรจนสิ้นพระชนม์ ได้กำชับฮ่องเต้ต้าฉู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้ดูแลลู่เสี่ยวดีๆ

ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงรักน้องชายคนนี้เป็นอย่างมาก เพิ่งครองราชย์ไม่นาน ก็ได้แต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นอ๋อง

แต่นึกไม่นึกว่า หรงอ๋องซึ่งปกติดูนอบน้อมและภักดีต่อพี่ชายยิ่ง ลับหลังจะมีความคิดที่เลวร้ายเช่นนี้

“ปู๊ด...”

ขณะที่ทั้งคู่ต่างใช้ความคิดกันอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงผายลมดังปู้ดออกมา

และถัดจากนั้น ก็คือเสียงร้องไห้ของทารกน้อย

[ว้าย ๆ ๆ นี่คือ...การผายลมของเราหรือ?]

[แต่เราเป็นเซียนนะ จะผายลมได้ยังไงกัน?]

[ตายล่ะ ช่างน่าอายแท้ ไม่อยากอยู่อีกแล้ว!]

ลู่ซิงหว่านร้องไห้โฮออกมาในทันใด รู้สึกว่าแทบอยากกลั้นใจตายไปซะ

จากนั้น ก็มีเสียงกลั้นยิ้มของพระสนมเฉินเฟยดังแว่วว่า “โถ หวานหว่านคงจะถ่ายแล้ว จิ่นซิน...”

“พระสนม ข้าน้อยจะเปลี่ยนผ้าอ้อมให้องค์หญิงเก้าเดี๋ยวนี้เพคะ”

จิ่นซินได้รีบไปยกน้ำอุ่นเข้ามา ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของลู่ซิงหว่านแล้ว

เมื่อได้ยินคำสั่ง นางก็รับตัวลู่ซิงหว่านมาจากพระสนมเฉินเฟย และดึงผ้าอ้อมของนางออก

[ไม่ ๆ ๆ ว้าย...นั่นก้นของข้า...]

[ถ้าให้พวกที่อยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรได้รู้เข้า ว่าเราต้องให้คนอื่นมาเช็ดก้นและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ เรามิขายหน้าแย่หรอกหรือ...]

ลู่ซิงหว่านร้องตะโกนในใจพลางใช้มือน้อยอวบอ้วนปิดหน้าของตัวเองไว้ แต่มือสองข้างเล็กนิดเดียว แทบไม่อาจปิดบังใบหน้าของนางได้

จิ่นซินดึงมือนางออกด้วยความเอ็นดู พลางกล่าวยิ้มๆ “พระสนม องค์หญิงเก้าขวัญอ่อนมากนะเพคะ แค่เสียงผายลมของตัวเองยังทำเอาตกใจได้”

พระสนมเฉินเฝยยิ้มอ่อนโยนขณะมองดูจิ่นซินทำความสะอาดให้แก่ลู่ซิงหว่าน พร้อมกล่าวตอบ “ช่างเถอะ อีกหน่อยก็ค่อยชินไปเอง”

จิ่นซินไม่รู้ว่าหวานหว่านเป็นเซียนมาจุติ แต่ก็ไม่กล้าหยอกล้อนางอีก มิฉะนั้นองค์หญิงน้อยคงเขินอายจนไม่กล้าสู้หน้าผู้คนอีก

ฮ่องเต้ต้าฉู่มองดูใบหน้าน่ารักของลู่ซิงหว่าน เดิมทียังกลัดกลุ้มอยู่มาก แต่ตอนนี้ผ่อนคลายมากแล้ว

เพราะอย่างไรเสีย เรื่องที่ลู่ซิงหว่านพูดนั้น ยังไม่ได้เกิดขึ้น

บัดนี้ได้คำเตือนมาจากนาง เขาก็ย่อมไม่อยากให้เกิดจริง ๆ

ลู่ซิงหว่านเป็นเพียงทารกแรกเกิดคนหนึ่งเท่านั้น

หลังจากกินนมเสร็จ ขับถ่ายเรียบร้อย ทั้งยังได้เปลี่ยนผ้าอ้อมสะอาดสะอ้าน ก็เข้าสู่การนอนที่แสนสุขอีกครั้ง

ฮ่องเต้ต้าฉู่เห็นสีหน้าพระสนมเฉินเฟยดูเหนื่อยล้า จึงกำชับให้นางพักผ่อนให้มาก ส่วนตนก็เตรียมกลับห้องทรงอักษร เพื่อสะสางราชกิจต่อไป

ขณะเดินออกจากตำหนักชิงอวิ๋น ฝนยังคงตกอยู่

ราวกับเป็นหยาดน้ำอมฤตที่หลั่งมาชุบชีวิตให้แก่สรรพสัตว์อีกครั้ง

ที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นก็คือ ฝนยังตกอยู่แท้ ๆ เหนือตำหนักชิงอวิ๋นขึ้นไป กลับมีสายรุ้งปรากฏขึ้น ราวกับเป็นการฉลองที่ลู่ซิงหว่านมาเกิด

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status