เสียงที่ชัดเจนของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังเธอ ตามมาด้วยกลิ่นบุหรี่ที่สดชื่นจางๆ เธอยืนขึ้นและหันหลังกลับไปมองบุคคลที่เดินเข้ามา ห้าปีผ่านไป ความอ่อนเยาว์ของชายคนนั้นได้จางหายไป เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูสงบเงียบและเฉียบแหลมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน คิ้วที่กระดกขึ้นเล็กน้อยปิดบังความฉลาดของเขาไว้ เขาแต่งกายอย่างประณีตด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและชุดสูทสีเข้ม เขาผูกเนคไทสีอ่อนที่มาพร้อมกับที่หนีบเนคไทสีเทา เมื่อเห็นที่หนีบเนคไท สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าห้าปีผ่านไปเขาจะยังเก็บที่หนีบเนคไทอันนี้ไว้อยู่ บางทีสายตาที่เธอจ้องมองเขาอาจรุนแรงเกินไป ดังนั้น โม่ไป๋จึงเลิกคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้ม "ว่าไง จำผมไม่ได้ซะแล้วเหรอ? ยัยเด็กน้อย" ชื่อเรียก "ยัยเด็กน้อย" ทำให้เสิ่นหยินอู้แตกฉานได้ในเพียงเสี้ยววินาที เธอเคืองเล็กน้อย "ใครเป็นยัยเด็กน้อยกัน? ใครอนุญาตให้นายเรียกฉันแบบนั้น?" เมื่อเห็นแก้มของเธอป่องขึ้นด้วยความโกรธ โม่ไป๋ก็อดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า "เธอเกือบจะโกรธจนกลายเป็นปลาปักเป้าแล้ว มันไม่ใช่ยัยเด็กน้อยเหรอ?" ปลาปักเป้า? เสิ่นหยินอู้มองอีกฝ่ายอย่างพูดไม่ออก "นาย
แม้ว่าจะเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่เมื่อเขาโดนหมัดเสยเข้าที่คาง โม่ไป๋ก็คาดไม่ถึงว่าฉินเย่จะลงมือรุนแรงถึงเพียงนี้ หลังจากที่ฉินต่อยอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้ดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาคว้าข้อมือขาวๆอันบอบบางของเสิ่นหยินอู้แล้วดึงเธอไปที่ด้านหลังของเขาเพื่อปกป้องเธอ จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและใช้สายตาข่มขู่และเย็นชาจ้องมองไปที่เธอ เสิ่นหยินอู้ "..." เขาทำหน้าตาดุร้ายราวกับว่ากำลังถามเธอว่า: คุณโดนสกัดจุดหรือคุณโง่เนี่ย โดนคนอื่นเข้ามาสวมกอดแล้วผลักออกไปไม่ได้รึไง? "ชิ" โม่ไป๋พยายามเช็ดเลือดที่มุมปากของเขาเบาๆ เขามองฉินเย่อย่างขบขันแล้วพูดว่า "กูเพิ่งกลับมา มึงก็ให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับกูขนาดนี้ แบบนี้ไม่ค่อยดีหรอกมั้ง? ฉินเย่" เสียงที่คุ้นเคยทำให้ฉินเย่ชะงักไปชั่วคราว จากนั้นเขาจึงละสายตาจากใบหน้าของเสิ่นหยินอู้และมองไปทางโม่ไป๋ สายตาของทั้งสองสบกันกลางอากาศ และจู่ๆบรรยากาศก็นิ่งและอึดอัดขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของฉินเย่ก็กลับมาเป็นปกติ เขามองไปที่โม่ไป๋ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "กลับมาแล้วสินะ" โม่ไป๋หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง และ
ฉินเย่ตอบเธออย่างเย็นชา "ไปกันเถอะ" “เธอไปแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของฉินเย่ดูเหลืออดอย่างเห็นได้ชัด "ไม่งั้นจะให้อยู่รอตุณรึไง? คุณรู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน?" เสิ่นหยินอู้ "..." เอามาอีกแล้ว นี่มันแทบจะเป็นน้ำเสียงตำหนิของที่คนเป็นพี่น้องกัน เป็นแบบนี้ทุกที! เสิ่นหยินอู้สลัดมือออกจากมือของเขาและตอบอย่างไม่มั่นใจว่า "แน่นอนว่าฉันรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่แล้วมันยังไงล่ะ? หลังจากที่ฉันจากไปแล้ว มันก็มีเพียงแค่โยวโยวเท่านั้นที่รับตำแหน่งต่อจากฉันชั่วคราวได้ แน่นอนว่าฉันต้องไปพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือเป็นเพื่อนเธอ " สีหน้าของฉินเย่ยังคงเย็นชา "จะพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือจำเป็นต้องเป็นสถานที่แบบนี้เหรอ?" "ถ้างั้นต้องเป็นที่ไหนล่ะ?" เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว "คุณว่าอะไรนะ?" เมื่อนึกถึงเรื่องการพบกันกับเฉินเฉินในคืนนี้ เสิ่นหยินอู้ยังคงรู้สึกโมโหอยู่มาก เฉินเฉินไม่เคารพเธอเพราะช่วงนี้ฉินเย่ชอบพาเจียงฉูฉู่มาที่บริษัท ซึ่งมันทำให้เกิดข่าวลือมากมายในบริษัทที่ไม่เป็นผลดีกับเธอ ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่าเธอเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งซึ่งไม่ต้องการ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเธอไม่ควรขุ่นเคือ
ระหว่างทางกลับ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เงียบ สีหน้าของฉินเย่มืดมน มือของเขากำพวงมาลัยแน่นมาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ แรงที่เขากำนั้นแรงมากจนดูเหมือนว่าเขาต้องการจะฉีกพวงมาลัยออกเป็นชิ้นๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูดก่อนขึ้นรถ ภายในใจของฉินเย่ก็รู้สึกหดหู่ ในอดีต เขาไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเสิ่นหยินอู้พูดถึงมัน เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ฉินเย่มองไปที่เสิ่นหยินอู้ ตั้งแต่เธอขึ้นรถมา เธอก็เอาแต่ขดตัวอยู่บนที่นั่งแล้วหลับตาลง ราวกับว่าเธอปิดกั้นโลกทั้งใบจนเหลือเพียงแค่เธอคนเดียว หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันกับเธอมาหลายปี ฉินเย่จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเธอทำงานหนักแค่ไหนเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเอง? แต่วันนี้เธอรู้สึกหงุดหงิด ในระหว่างทางที่เขามา เขาได้ฟังหลินโยวโยวบรรยายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เธอก็ลังเล ฉินเย่ฉลาดแค่ไหนกันเชียว? เขาถามเชิงบังคับให้เธอพูดประโยคต่อไปในทันที สมกับที่หลินโยวโยวเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆเธอ โยวโยวเห็นโอกาสจึงพูดว่า "ประธานฉิน ถ้าฉันบอกคุณ คุณจะมาตำหนิฉันไม่ได้เด็ดขาดนะคะ แล้วก็ห้ามบอกพี่หยินอู้ว่าฉันบอกคุณนะคะ"
คุณนายฉินยังไม่ได้พักผ่อน หลังจากเห็นว่าเธอปลอดภัยหายห่วงแล้ว เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” คุณนายจับมือของเธอแล้วตีเบาๆ จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความจริงจัง "ย่าไม่รู้ว่าถ้าถึงตอนนั้นการผ่าตัดจะสำเร็จหรือไม่ ถ้าไม่สำเร็จ ย่าอาจไม่มีโอกาสได้เจอพวกเธอ ย่าแก่แล้ว และไม่ได้มีความปรารถนาใดเป็นพิเศษ ย่าแค่หวังว่าพวกเธอจะปลอดภัยจากภยันตรายทุกอย่างตลอดไป” หลังจากได้ยิน สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไป “คุณย่าคะ ย่าพูดอะไรน่ะคะ? การผ่าตัดจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน และย่าจะได้อยู่กับพวกเราไปอีกนานๆค่ะ! วันหลังคุณย่าอย่าพูดคำที่น่าหดหู่แบบนี้อีกนะคะ ไม่งั้นหนูจะโกรธคุณย่า” คุณนายฉินสังเกตเห็นว่าน้ำเสียงและสายตาของเธอล้วนเปลี่ยนไป จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ย่ารู้แล้วว่าแม่สาวน้อยคนนี้ของย่าเป็นห่วงย่าโอเค โอเค ย่าจะพยายามให้ตัวเองไม่เป็นอะไร” หลังจากพูดจบ เธอก็จิ้มไปที่แก้มของเสิ่นหยินอู้ที่กำลังป่องด้วยความโกรธเบาๆ “แม่สาวน้อย...ย่ามีความลับเล็กๆน้อยๆจะบอก” “ความลับ? ความลับอะไรเหรอคะ?” สายตาที่เต็มไปด้วยอยากรู้อยากเห็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ “เมื่อกี้ไอ
แต่ในท้ายที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้าเห็นด้วย เมื่อเธอกลับมาที่ห้อง เธอก็พบฉินเย่นั่งอยู่บนโซฟา เมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่คุณย่าพูด เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่เสื้อผ้าของเขาโดยไม่รู้ตัว เป็นแบบที่คุณย่าพูดจริงๆ เขาสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีดำตัวเดียวและนั่งพิงอยู่บนโซฟาสีเข้ม ออร่าที่มืดมนของเขาแทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับโซฟา เสิ่นหยินอู้คาดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันจนเป็นแบบวันนี้ ที่จริงแล้ว แม้ทั้งคู่จะไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยากัน แต่พวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กจนโต เพียงแต่ก็ไม่ได้สนิทกันเท่ากับคนที่เป็นสามีภรรยากัน การที่เธอมาถึงตรงนี้ได้ มันก็เป็นเพราะเขาช่วยเธอมามาก เสิ่นหยินอู้รู้ว่าเธอควรก้มศีรษะลงก่อน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เธอยืนอยู่ตรงนั้นและมองฉินเย่อย่างเนิ่นนาน ในท้ายที่สุดเธอก็ไม่พูดอะไรและเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเงียบๆเพื่ออาบน้ำ เมื่อเธอออกมา ฉินเย่ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนอนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มีเสียงข้อความสองสามดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ของเธอ เสิ่นหยินอู้หยิบมันออกมาดูและพบว่าเป็นหมายเลขที่เธอไม่รู้จัก “ยัยเด็กน้อย นี่เบอร์ของฉันเอง อย่าลืมบั
ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าทั้งสองจะมีสงครามเย็นกันกี่ครั้ง ฉินเย่ก็มักจะเป็นคนที่ทำลายกำแพงน้ำแข็งระหว่างพวกเขาก่อนเสมอ แน่นอนว่า แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่สีหน้าของเขาก็ยังดูแย่อยู่มาก หากเธอเมินเขา เขาจะยิ่งโกรธและกัดฟันพูดคุยกับเธอต่อไป หลังจากที่เธอคิดได้ เธอจึงพยักหน้าเบาๆ "ได้" จากนั้นสีหน้าของฉินเย่ก็อ่อนโยนขึ้น หลังอาหารเย็น ทั้งสองก็ออกไปด้วยกัน เดิมทีเสิ่นหยินอู้ต้องการขับรถเอง แต่ทันทีที่เธอเดินอ้อมไปทางที่นั่งคนขับ เธอก็เห็นฉินเย่กระจกและมองเธออย่างเย็นชา "ขึ้นรถ" เมื่อคิดว่าทั้งสองคนไปงานรวมตัวด้วยกันในตอนเย็น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ พวกเขาเงียบใส่กันตลอดทาง เมื่อถึงที่บริษัท ต่างฝ่ายก็ต่างเดินไปที่ทำงานของตัวเอง ทันทีที่เสิ่นหยินอู้นั่งลง เธอก็ได้รับข้อความจากเพื่อนสนิทของเธอโจวชวงชวง “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง? การผ่าตัดของคุณย่าฉินเลื่อนออกไปแบบนี้ งั้นเรื่องของพวกเธอก็ต้องเลื่อนออกไปด้วยใช่ไหม?” "อืม" “อ่า แล้วได้บอกหรือเปล่าว่าเราต้องเลื่อนออกไปนานแค่ไหน?” “ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด ตอนนี้คุณย่ายังพักผ่อนอยู่ น่าจะต้องแล้วแต่คุณย่าน่ะ” “……” โจ
เสียงที่เย็นชาดังออกมาจากโทรศัพท์ แม้ว่าเสิ่นหยินอู้คิดที่จะตัดสาย แต่มันก็สายเกินไปแล้ว เมื่อเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เสียงก็ดังออกมาเองจนจบ เสิ่นหยินอู้ "....." ทำยังไงดี? เธอคิดว่าชวงชวงไปทำธุระเสร็จแล้ว และเธอเดาว่าเมื่อชวงชวงกลับมาก็คงจะตะโกนด่าใส่เธอเกี่ยวกับไอสารเลวที่แย่กว่าเจ้านายของชวงชวง ใครจะไปรู้ว่าชวงชวงจะพูดถึงเรื่องของเธอ เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าของหยินอู้ก็เปลี่ยนไป เธอลุกขึ้นและเปิดประตู ด้านนอกประตูนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอให้หลินโยวโยวปิดประตูในตอนที่เธอออกไป เธอคงไม่น่าจะอยู่ตรงนี้แล้วถึงจะถูกต้อง เธอคงไม่ได้ยินเสียงเมื่อครู่นี้ อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ยังคงไม่วางใจ เธอก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและสำรวจอยู่สักพักหลัง จากแน่ใจว่าไม่มีใคร เธอจึงกลับเข้าห้องไป จากนั้นเธอก็ลบข้อความเสียงที่โจวชวงชวงส่งมาให้เธอทิ้ง จากนั้นก็ต่อว่าชวงชวงอย่างรุนแรง เมื่อเห็นว่าเธอโกรธ โจวชวงชวงก็รีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว และขอโทษเธอด้วยวิธีต่างๆมากมาย เธอแค่ตื่นเต้นเกินไป ครั้งหน้าจะไม่ให้เป็นแบบนี้อีก ในอีกด้านหนึ่งณ บันได