โดยปกติแล้วกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาจะชอบเสแสร้งว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี รายงานแต่เรื่องดี ๆ ไม่รายงานเรื่องร้าย ๆ บางครั้งก็กระทำในสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นโกรธแค้นเจ้าเมืองคนก่อนถูกเนรเทศเพราะรับสินบนและคดโกง แต่ไม่คิดว่าเมื่อเขามาที่นี่แล้วจะต้องมาอยู่บนเส้นทางเดิมอีกครั้ง“โอ๊ย!”“บังอาจ เดินไม่ดูทางหรือไร?”หวังหยวนที่กำลังคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่ไม่ทันสังเกตเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินสวนทางมา เขาหน้าตาเศร้าหมองราวกับว่ากำลังประสบปัญหาอะไรบางอย่างอาการเหม่อลอยทำให้ไม่ทันเห็นหวังหยวนที่เดินสวนมา ในสายตาของเขาชายหนุ่มคนนี้ดูอ่อนแอมาก ไม่มีทีท่าว่าแข็งแกร่งเลยเมื่อถูกต้าหู่ตวาดใส่ก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ ครั้นมองเสื้อผ้าที่หวังหยวนสวมใส่แล้วก็คาดเดาได้ว่าเขาน่าจะเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลร่ำรวย“ขอโทษ! ขอโทษจริง ๆ...”ชายวัยกลางคนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ๆ ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ต้องขอโทษไว้ก่อน อีกอย่างหนึ่งคือพวกเขาเป็นคนยากจน จึงไม่กล้ามีปัญหาเกี่ยวข้องใด ๆ กับคนร่ำรวยด้วยความกลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายข่มเหงอย่างโหดเหี้ยมหากไม่ระวัง จึงได้ขอโทษหวังหยวนที่ยืนอยู่ข้างหน้าด้วยใบหน้าเศร้าสลด“หยุด หยุดนะ.
เขาได้แต่ยืนอยู่กับที่ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่อเห็นสีหน้าอันน่าเวทนาของหวังหยวนแล้วก็อดสงสารไม่ได้ รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้แตกต่างจากบุตรชายคนโตของตระกูลร่ำรวยคนอื่น ๆความเมตตาในใจแวบผ่านเข้ามา ชาวบ้านทุกคนล้วนมีความเมตตาที่บริสุทธิ์“คุณชาย หากไม่รังเกียจก็โปรดตามข้ากลับไป ที่บ้านมีเพียงผักดอง ไม่รู้พวกท่านจะกินกันได้หรือไม่”เมื่อชายวัยกลางคนพูดจบก็หันหลังแล้วเดินไปตามทางที่ไม่ไกลนัก แสดงท่าทางกระตือรือร้น แนะนำทิวทัศน์ของที่นี่ให้หวังหยวนและคนอื่น ๆ ตลอดทางทั้งยังเล่าตำนานต่าง ๆ มากมายในท้องถิ่น หวังหยวนฟังชายวัยกลางคนเล่าเรื่องตลอดทางต้าหู่เดินตามมาอย่างจำใจ ไม่รู้ว่าหวังหยวนกำลังคิดอะไรอยู่?“พี่ชาย ข้าเห็นว่าที่ดินอันอุดมสมบูรณ์มากมายในบริเวณนี้ถูกทิ้งร้างไว้ เหตุใดจึงไม่มีใครเพาะปลูกเลยเล่า?”หวังหยวนเดินมาไกลแล้วจึงถามคำถามที่อยู่ในใจ เมื่อแรกเริ่มกลัวว่าจะพูดจาตรงไปตรงมาเกินไปจนทำให้ชายวัยกลางคนหวาดระแวงตลอดทางชายวัยกลางคนแนะนำขนบธรรมเนียมประเพณีในท้องถิ่นให้กับพวกเขา ดูเหมือนว่าความหวาดระแวงจะไม่สูงเท่าช่วงแรก“เพาะปลูกหรือ? ใครเล่าจะกล้า?”“คุณชาย ข้าไม่กลัวที่จ
แม้แต่เชียนหลงซึ่งปกติจะวางท่าทีเงียบขรึมไม่แยแสอยู่เสมอ ยังอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น และอยากสัมผัสประเพณีการจัดงานรื่นเริงของที่นี่“ท่านทั้งสองอย่าไปสนใจความคึกคักเช่นนี้เลย นี่ไม่ใช่งานแต่งงานธรรมดา นั่นผู้ใหญ่บ้านตระกูลกวนของเรา เขากำลังจะแต่งงานกับอนุภรรยา”“ครอบครัวของพวกเขาเองก็ครอบครองที่ดินไว้ไม่น้อย ช่วงหลังมานี้ยังโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เพราะหวังผลประโยชน์บางอย่าง จึงให้พวกเราชาวบ้านเช่าที่ดินเหล่านี้”ชายวัยกลางคนรีบเรียกต้าหู่ที่กำลังจะออกไปดูความคึกคักทันที กลัวว่าหากคลาดสายตาเพียงครู่เขาจะก่อเรื่องขึ้นได้ แม้ว่าคนเหล่านี้จะดูมีฐานะก็ตามดั่งสุภาษิตที่กล่าวไว้ ว่ามังกรที่แข็งแกร่งก็ไม่สามารถกดหัวงูเห่าในท้องถิ่นได้ แม้ว่าจะมีความสามารถมากเพียงใดก็ใช่ว่าจะสามารถต่อกรกับผู้ใหญ่บ้านได้“แต่งงานกับอนุภรรยาหรือ?”หวังหยวนรู้สึกแปลกใจ ผู้ชายมีสามภรรยาสี่อนุก็เป็นเรื่องปกติ แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ใหญ่บ้านตัวจ้อย กลับอู้ฟู่ถึงขั้นจัดงานแต่งงานกับอนุภรรยา ซึ่งชาวบ้านเหล่านี้ก็ดูเหมือนไม่ค่อยยินดีด้วยสักเท่าไหร่แม้แต่คนที่มีฐานะดีหน่อยยังแต่งอนุภรรยาอย่างน้อยสักหนึ่
“เมื่อแขกทุกคนมอบของขวัญแล้วก็พากันกลับไปเสีย ผู้ใหญ่บ้านจะจดจำของขวัญที่ทุกคนมอบให้ไว้อย่างแน่นอน วางใจเถิดว่าของที่เจ้าปรารถนาจะตกไปอยู่ในมือของเจ้าแน่”ผู้รับของขวัญไม่ได้กล่าววาจาใดเพิ่มเติม แต่ไล่ชาวบ้านเหล่านั้นกลับไปโดยทันที ใบหน้าของเขาแสดงความรำคาญราวกับเห็นฝูงแมลงวันเมื่อหวังหยวนเห็นเช่นนั้นก็ล้วงเงินออกมาจากอกเสื้อสองสามตำลึงวางไว้บนโต๊ะ แล้วเขียนชื่อลงในสมุดบัญชีอย่างลวก ๆ ผู้รับของขวัญมองเงินบนโต๊ะแล้วตาเป็นประกายชาวบ้านยากไร้เหล่านี้คงไม่มีปัญญามอบเงินให้ได้ แม้แต่เหรียญทองแดงก็ยังไม่มีให้ จึงได้แต่นำข้าวสารที่ไร้ค่ามาแสดงความยินดี“คุณชาย เชิญข้างใน เชิญข้างใน...”หวังหยวนโบกมือแล้วพาต้าหู่และเชียนหลงเข้าไปในประตูใหญ่ แม้จะเป็นเพียงการแต่งอนุภรรยา แต่ภายในก็ตกแต่งอย่างประณีตโคมไฟส่องสว่างทั่วบริเวณบ่งบอกถึงความรื่นเริง บนโต๊ะเลี้ยงมีทั้งไก่ เป็ด ปลา เนื้อสัตว์มากมาย ผู้ที่ได้รับเชิญให้เข้ามารับประทานอาหารล้วนเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงในท้องถิ่นหวังหยวนและพรรคพวกเลือกหาที่นั่งในมุมที่เงียบสงบ พวกเขาเพียงต้องการดูว่าผู้ใหญ่บ้านมีอำนาจมากเพียงใด?ขูดรีดชาวบ้านอย่างโจ
ไม่นึกเลยว่าคราวนี้จะมีคนไม่รู้จักที่ตายกล้าเข้ามาหาเรื่องอีก อยากเห็นนักว่าต้าหู่จะพบจุดจบอันน่าเศร้าเช่นไร?ฝูงชนที่มุงดูต่างนั่งชมเหตุการณ์อยู่เฉย ๆ พวกเขาชินกับเรื่องเช่นนี้เสียแล้วยิ่งกว่านั้นคือพวกเขายังรู้สึกว่านี่คือความบันเทิง ทุกครั้งที่เห็นภาพเช่นนี้ก็จะรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากใคร่เห็นชายหนุ่มตรงหน้าร้องไห้คร่ำครวญคุกเข่าขอความเมตตา ผู้ใหญ่บ้านสำหรับพวกเขาเป็นผู้ที่สูงส่งเกินเอื้อม“โครม ปัง...”ได้ยินเสียงดังสนั่น ผู้คนต่างหลับตาลงด้วยความตกใจ แล้วก็ลืมตาขึ้นด้วยความตื่นเต้น อยากจะดูว่าชายหนุ่มที่ก่อเรื่องก่อนหน้านี้ตายไปแล้วหรือยังแต่แล้วเรื่องที่ทำให้พวกเขาตกใจก็ปรากฏ พวกเขาเห็นชายหนุ่มที่พ่อบ้านของผู้ใหญ่บ้านเรียกตัวมาเมื่อครู่ ล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นอย่างไม่รู้เป็นตายร้ายดีชายหนุ่มที่ก่อเรื่องยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทางองอาจสง่างาม ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย“ใครกล้ามาหาเรื่องในงานแต่งงานของข้า หรือว่าไม่อยาก...”ชายวัยห้าสิบเศษเดินออกมาจากห้องด้านใน ทั่วทั้งร่างกายของเขาแผ่กลิ่นอายที่โหดเหี้ยมอย่างมาก ตัวไม่สูงนัก ใบหน้ามีรอยยิ้มแสยะอย่างชั่วร้าย“ไอ้
เมื่อสมาชิกตระกูลกวนเห็นเช่นนั้นต่างก็อึ้งไปชั่วครู่ และไม่อยากเชื่อสายตา!เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างหยิ่งยโสเสียจริง!กวนเสี่ยวไห่ฮึดฮัดและตะโกนว่า “เจ้ากล้าทำร้ายข้า เชื่อหรือไม่ว่าหากบิดาของข้ามาถึง ย่อมจะฆ่าเจ้าให้ตายได้!”หวังหยวนไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย สั่งให้ต้าหู่มัดกวนเสี่ยวไห่ไว้ และมัดผู้ใหญ่บ้านไว้ด้วยเช่นกันจากนั้นหวังหยวนก็ก้าวไปยืนอยู่บนแท่นสูง มองไปที่คหบดีและชาวนาเหล่านั้นแล้วกล่าวว่า“ชาวบ้านทั้งหลาย บัดนี้กฎหมายใหม่ของเมืองหลิงได้ประกาศใช้แล้ว ทุกคนสามารถทำไร่ไถนาได้ ทุกคนสามารถค้าขายได้ สิ่งที่เราต้องการคือทำให้ทุกคนร่ำรวยและเข้มแข็ง!”“ไม่ใช่ปล่อยให้เพียงแค่คหบดีและตระกูลผู้มั่งคั่งไม่กี่ตระกูลร่ำรวย ชีวิตเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ดังนั้นเราจึงควรสามัคคีกันเข้าไว้!”หวังหยวนสูดหายใจเข้าลึก ๆ แม้ว่าเมืองหลิงจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีหมู่บ้านบนภูเขาห่างไกลที่มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้มากมายเหลือเกิน กฎหมายใหม่ของหวังหยวนอาจประกาศใช้ได้ แต่เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว บางพื้นที่ก็ห่างไกลจากเมืองหลวงเกินไป จึงไม่สามารถบังคับใช้ได้ทีเดียว!ท้ายที่สุดแล้ว หวังหยวนไม่มีคนมากมายน
เขาสามารถทำให้ทุกคนร่ำรวยได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีสมเหตุสมผล มีคุณธรรมและถูกกฎหมาย!หากกองเงินที่ได้มานั้นมาจากการเหยียบย่ำร่างของคนยากจน นั่นไม่ใช่เงินแต่เป็นเลือดต่างหาก!นั่นไม่ใช่หนทางแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ!นั่นไม่ใช่หนทางแสวงหาความร่ำรวย!หากเป็นพื้นที่อื่น หวังหยวนอาจไม่สนใจเนื่องด้วยไม่สามารถจัดการได้!แต่เมืองหลิงแห่งนี้เขาต้องเป็นผู้กำหนด!“พี่ชาย ข้าเข้าใจความหมายของท่าน ไม่ต้องกังวลเลย เรื่องนี้ข้ามีขอบเขตจริง ๆ!”หวังหยวนยกยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจหลิวต้าฮั่นถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ชาวบ้านจำนวนมากไม่กล้าอยู่ต่อ รีบแยกย้ายกลับบ้านไปต้าหู่ก็ไปจัดการธุระเช่นกัน ส่วนเชียนหลงนั่งอยู่ข้างหวังหยวนนางเฝ้ามองชายผู้นี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น“คุณชาย แม้ว่าท่านจะช่วยพวกเขาได้และความสามารถของท่านสามารถช่วยเหลือใครก็ได้จริง แต่...สิ่งที่ท่านทำนับว่าเป็นการละเมิดกฎของโลกนี้หรือไม่?”เมื่อเชียนหลงพูดจบ หวังหยวนก็เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ของนาง!“เจ้าหมายความว่า ข้าแทรกแซงพวกเขาใช่หรือไม่?”เมื่อหวังหยวนพูดจบ
เมื่อหวังหยวนเอ่ยคำถามนี้จบลง เชียนหลงก็ชะงักไปครู่หนึ่งนางไม่รู้ว่าเหตุใดหวังหยวนถึงได้ถามคำถามนี้ขึ้นมาในทันใด!ต้องรู้ก่อนว่าคำว่าชีวิตนั้นเป็นคำถามที่ยากที่สุดในยุคสมัยนี้แล้ว! เกรงว่าจะหาผู้ที่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนได้ยากนัก!แต่เชียนหลงเป็นคนฉลาด นางรู้ว่าเนื่องจากหวังหยวนถามคำถามนี้ขึ้นมา ทั้งยังถามในเวลานี้ด้วยแล้ว ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องตรงหน้าเป็นแน่!ดังนั้น...นางจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย ชีวิตนั้นยากเกินกว่าจะบรรยายได้ หากให้ข้ากล่าว… อาจจะกล่าวได้ว่าการได้อยู่อย่างสุขสบายนั้นสำคัญที่สุด”เมื่อเชียนหลงกล่าวจบ หวังหยวนก็ชะงักไปครู่หนึ่งสตรีผู้นี้กล่าวคำพูดที่ค่อนข้างลึกซึ้งเหมือนเขาไม่มีผิด!แต่ตัวเขานั้นมีประสบการณ์จากชาติก่อน จึงมีความคิดเช่นนี้ในชาติก่อนเขาใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการเล่าเรียน ไม่ทันได้เสพสุขก็ตายไปเสียแล้วโชคดีที่ในชาตินี้มีจิตสำนึกจากชาติก่อนติดสอยห้อยตามมาด้วย ถึงรู้สึกว่าชาติก่อนของตนนั้นขาดทุนมากชาตินี้จึงต้องเสพสุขให้เต็มที่ทว่าเชียนหลงผู้นี้...เหตุใดจึงมีแนวคิดเช่นนี้ได้?ตามเหตุผลแล้วนางน่าจะชอบเ