ครั้งนี้กู้อวิ๋นซีไม่มีอาการตกใจหรือละอายใจนางหันกลับไปมองผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง"ได้ยินว่าดาบจันทร์เสี้ยวของเสวียนอ๋อง หนักตั้งห้าสิบกว่ากิโล มีเพียงท่านคนเดียวที่สามารถใช้ได้อย่างลื่นไหล"นางมีสีหน้าไร้อารมณ์ จนแทบจะพูดได้ว่า เย็นเยียบเลยทีเดียว"แต่เหตุใดข้าถึงเห็นฉู่หลีใช้ดาบจันทร์เสี้ยวของท่านในสนามรบได้อย่างสบายราวกับใช้อาวุธของของตัวเองมานานหลายปีกัน?""เจ้าเห็นเมื่อไรว่าฉู่หลีไปออกรบ?"จวินเย่เสวียนพูดอย่างเย็นชา "หรือว่า นี่เจ้าจำแม้กระทั่งผู้ชายของตัวเองไม่ได้เลยหรือยังไง?""ท่านหมายความว่ายังไง?" กู้อวิ๋นซีตกใจจนตัวแข็ง"คนที่ช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าตีเมืองเมื่อสิบวันก่อน เป็นข้าเอง ยัยผู้หญิงโง่!"จวินเย่เสวียนพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ "เจ้าคิดว่า สภาพร่างกายที่เพิ่งควบคุมพิษได้ของฉู่หลี ข้าจะยอมให้เขาไปออกรบหรือยังไง?""นี่ท่านพูด...จริงเหรอ?" กู้อวิ๋นซีรู้สึกตกตะลึง ในแววตาปรากฎร่อยรอยแห่งความดีใจแต่ไม่นาน ความดีใจนั้นก็ค่อยๆ มลายหายไป ในใจ ยังคงรู้สึกสงสัยไม่หายนางไม่กล้าที่จะคิดมากอีกแล้ว!จวินเย่เสวียนคร้านที่จะอธิบายกับนางอีก "ตอนนี้ ตามข้าเข้าว
จวินเย่เสวียนพานางไปยังตำหนักของพระสนมหรงเขาบอกว่า ตอนนี้ฉู่หลีอยู่ในตำหนักของพระสนมหรงนี่แหละดูก็รู้ว่าในใจของเขารู้สึกอึดอัดคับข้องใจถึงแม้ใบหน้าจะไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ แต่กู้อวิ๋นซีก็รู้ได้ว่าเขากำลังโมโหอยู่เขาไม่รู้สึกละอายใจสักนิดเลยหรือไงหรือว่า นางจะเป็นคนผิดจริงๆ?เรื่องมันง่ายแบบที่เขาบอกจริงๆ เหรอ?เขาไม่อยากให้ฉู่หลีไปออกรบ ดังนั้น เขาก็เลยไปออกรบแทนเป็นแบบนี้เหรอ?ในขณะที่ทั้งสองคนเดินผ่านภูเขาจำลองลูกหนึ่ง ไม่ไกลนักก็มีเสียงพูดคุยเบาๆ ของคนสองคนดังมากู้อวิ๋นซีตกใจในวังหลังส่วนลึกมี...มีคนกล้านัดพบกันด้วยเหรอ?นี่เป็นโทษหนักถึงขึ้นประหารชีวิตเชียวนะ!ไม่รู้ว่าเป็นทหารองครักษ์กับนางกำนัลน้อยคนไหน ใจกล้าถึงเพียงนี้เมื่อมองไปที่จวินเย่เสวียนอีกครั้ง เขาเองก็ได้ยินแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังเดินเข้าไปอย่างมั่นคง ราวกับไม่คิดสนใจหรือว่าเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในวังหลวงกันนะ?กู้อวิ๋นซีกำลังจะเดินต่อ คิดไม่ถึงว่าสองคนที่อยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง กลับพูดขึ้นว่า"เป็นอย่างไร? พระสนมอวี้ ข้าเก่งกว่าตาแก่นั่นเป็นไหนๆ เลยใช่หรือไม่?""นะ นั่นมันแน่
"กรี๊ดดด!"กู้อวิ๋นซีตื่นขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของตัวเองเพิ่งฟื้นขึ้นมา ก็เห็นใบหน้าที่ทำให้ตัวเองต้องหวาดกลัวสุดขีดอยู่ใกล้เพียงคืบนางตกใจจนใช้ฝ่ามือผลักเขาออกไป "อย่าแตะต้องตัวข้า!"ผู้ชายที่อยู่ข้างเตียงไม่ได้หลบหลีก ยอมรับฝ่ามือของนางทื่อๆ อย่างนั้นแต่ว่า วรยุทธ์ของนางตื้นเขิน ทำร้ายเขาไม่ได้เลยสักนิดเดียวเพียงแต่ท่าทางที่หวาดกลัวของนางเช่นนี้ ทำให้เขาเจ็บปวดใจอย่างมาก"ซีเออร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?""อย่าแตะต้องตัวข้า!" กู้อวิ๋นซีถลึงตามองเขา นิ้วมือยังคงสั่นเทา "อย่าเข้ามา! ท่านอย่าเข้ามานะ!""ซีเออร์ ข้าเองฉู่หลี!""ท่านไม่ใช่! ท่านคือจวินเย่เสวียน! ท่านไม่ใช่ฉู่หลี!"จวินฉู่หลีถอนหายใจออกมาหนึ่งที จ้องมองใบหน้าของนาง "ข้ารู้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้"กู้อวิ๋นซีไม่รู้ว่าเขาหมายความว่ายังไงเมื่อมองดูสายตาที่อบอุ่นของเขา ความรู้สึกหวาดกลัวในใจของนาง ก็ค่อยๆ สงบลงได้ในที่สุด"ฉู่...หลี?" กู้อวิ๋นซีจ้องเขาอย่างอึ้งๆที่หางตาของเขามีไฝเสน่ห์อยู่เม็ดหนึ่งจริงๆแต่เขากับจวินเย่เสวียน เหมือนกันขนาดนั้น นางแยกไม่ออกหรอก!หากว่าไฝเม็ดนี้ ใช้น้ำยาข
กู้อวิ๋นซีไม่รู้ว่าจวินฉู่หลีไปไหนแล้วตั้งแต่ที่นางพบว่าไทเฮาถูกแทง ตัวเองก็ถูกเข้าใจว่าเป็นผู้ต้องสงสัย ถูกจับมัดเอาไว้จนกระทั่ง มีคนมาเยี่ยมนางจวินฉู่หลีไม่ได้ปรากฎตัวขึ้นเลยตั้งแต่เกิดเรื่องคนที่มาเยี่ยมนางก็คือจวินเย่เสวียนคืนนี้เขาสวมชุดรัดกุม ซึ่งก็ยังเป็นสีดำประจำตัวของเขาชุดสีเย็นแข็งกระด้าง ยิ่งทำให้เขาดูเย็นชาและน่ากลัวขึ้นไปอีกกระทั่งรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหติแห่งการสังหารเลยทีเดียวเมื่อมองเขา ในหัวของกู้อวิ๋นซี ก็ปรากฎเป็นภาพเลือดเนื้อที่ปะปนเละเทะของท่านชายคนนั้นขึ้นมาทันทีนางก้าวถอยหลังทันที คิดจะหลีกหนีเขาไปให้ไกล"ผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอยู่ที่ไหน?" จวินเย่เสวียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนทิ่มแทงไปถึงกระดูก "พูดมา!"ที่แท้ เขาก็มาเพื่อสอบปากคำนางนี่เองนานเลยกว่าที่กู้อวิ๋นซีจะตั้งสติกลับมาได้ แล้วหันไปสบสายตากับเขา"องค์ชายสี่ ข้าไม่ได้เป็นคนแทงไทเฮานะเพคะ ข้าแค่...""ข้าถามเจ้าว่า ผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ที่ไหน?"จู่ๆ จวินเย่เสวียนก็เดินเข้ามาใกล้อย่างกดดัน เขาใช้มือบีบคางนางไว้ความเย็นยะเยือกจากตัวของเขา กดดันจนกู้อวิ๋นซีแทบจะหายใจไม่ออก"ข้าบอกแล้ว
ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งบุกเข้ามากู้อวิ๋นซีหันหน้ากลับไป ไม่มองใครสักคน สายตาจับจ้องไปที่ร่างกายของจวินเย่เสวียนเพียงคนเดียวตอนนี้ นางต้องพึ่งเสวียนอ๋องเท่านั้น"องค์ชายสี่ เชื่อข้า ขอร้องล่ะ!"จวินเย่เสวียนโบกมือหนึ่งทีทหารองครักษ์ก็หยุดทันที แต่ละคนมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรจะฟังคำสั่งใครดี"เสวียนเออร์!" พระสนมหรงโมโหแล้ว กัดฟันพูด "นางเป็นคนร้ายที่ลอบสังหารไทเฮานะ!""ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ใครก็จะบอกว่านางเป็นคนร้ายไม่ได้"จวินเย่เสวียนไม่ได้มองที่พระสนมหรง แต่มองไปที่ฝ่าบาทแทน"เสด็จพ่อ ให้โอกาสนางได้พิสูจน์ตัวเองเถอะพ่ะย่ะค่ะ หากนางช่วยไทเฮาไม่ได้ ลูก..."ตอนนี้สายตาของจวินเย่เสวียน ก็มองไปที่กู้อวิ๋นซี "หากนางช่วยไทเฮาไม่ได้ ลูกจะทำให้นางอยู่ไม่สู้ตาย!"สายตานั้น มีความเย็นชาเหนือประมาณ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรงกู้อวิ๋นซีรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว ความเย็นค่อยๆ เริ่มเกาะกินจากหัวใจ แผ่ขยายออกไปทั่วร่างสุดท้าย นางก็กัดฟันพูดว่า "ข้าจะรักษาไทเฮาให้หาย แต่ ข้าต้องการเลือดของพวกท่านทุกคน!"...หมอหลวงประกาศแล้วว่าจะไม่รักษาไทเฮาตอนนี้ กู้อวิ๋นซียังคงพยายามดื้อดึงต
ห้าอาชาแยกร่าง!นี่เป็นโทษที่โหดร้ายทารุณมาก ในหนานหลิงกั๋วของพวกเขา ก็จัดเป็นแค่เรื่องเล่าขาน ไม่เคยใช้จริงต่อให้เป็นนักโทษที่ชั่วร้ายแค่ไหน มากสุดก็แค่โบยจนตาย หรือไม่ก็ประหารตัดคอฝ่าบาทจะให้ห้าอาชาแยกร่างกู้อวิ๋นซี เห็นได้ชัดว่า ในเวลานี้ฝ่าบาทเคียดแค้นกู้อวิ๋นซีมากขนากไหนในขณะที่ทุกคนต่างกำลังตกใจกันอยู่นั้น ในใจก็อดคิดสงสัยไม่ได้ ได้ยินว่าวันนี้หลีอ๋องก็อยู่ในวังด้วยเหตุใดเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ กลับไม่เห็นหน้าของหลีอ๋องเลยล่ะ?ไทเฮาสิ้นพระชนม์ ภรรยาจะถูกลงโทษสถานหนัก หลีอ๋องจะไม่มาดูหน่อยเลยเหรอ?เมื่อฮ่องเต้รับสั่งออกไป เหล่าทหารองครักษ์ก็รีบบุกเข้าไปทันทีคิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้าประตูไป ก็ถูกพลังงานที่แข็งแกร่ง ทำให้กระเด็นออกมา ล้มลงบนพื้นอย่างแรง!เงาร่างที่ปรากฎขึ้นหน้าประตู สวมชุดสีดำสนิท สีหน้าเย็นชามีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้เชียว!ในใจของทุกคน ต่างเคร่งเครียดกันในทันทีเสวียนอ๋อง!"เสวียนเออร์" พระสนมหรงที่กำลังร้องไห้อยู่พลันลุกขึ้นยืนทันที พูดอย่างโมโห "เจ้ายังจะปกป้องนางไปถึงเมื่อไร?"ฮ่องเต้เองก็โมโหมากเช่นกัน "เสด็จแม่ข้าสิ้นพระชนม์ไปแล้ว กู้อวิ๋นซียัง
ช่วงนี้ทุกครั้งที่ได้เจอจวินเย่เสวียน ในหัวของกู้อวิ๋นซีก็พลันสับสนขึ้นเล็กน้อยเขาเหมือนกับฉู่หลีมากจริงๆ!นอกจากที่หางตาไม่มีไฝเสน่ห์แล้ว ก็เหมือนกันในทุกจุดนางยังสงสัยมาตลอดเลยว่า สรุปแล้วเขาใช่สามีของนางหรือไม่?เมื่อเห็นสายตาสับสนของนางที่มองเขา จวินเย่เสวียนก็ตีหน้าขรึม "คิดจะให้ท่าข้าอีกแล้วเหรอ?"กู้อวิ๋นซีรีบดึงสติกลับมาทันที รีบเก็บสายตา ในใจรู้สึกสับสนขนาดสามีของตัวเองยังแยกไม่ออก นี่นางเป็นคนที่ล้มเหลวขนาดไหนกัน?แต่เขา เหมือนกับฉู่หลีมากจริงๆพอตอนนี้ได้อยู่กับเขา ก็ราวกับได้อยู่กับฉู่หลีอย่างนั้นเพื่อจะปกปิดความคิดในใจของตัวเอง นางก็พูดออกไปเบาๆ ว่า "ขอบพระคุณองค์ชายสี่ที่ยอมเชื่อข้าในวันนั้น!"หากไม่ใช่จวินเย่เสวียนยอมที่จะเชื่อนาง ให้โอกาสนางในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เกรงว่าตอนนี้นางคงจะได้ตายตามไทเฮาไปนานแล้วแต่จวินเย่เสวียนกลับสะบัดเสียงพูดอย่างเย็นชา "ข้าสนใจก็เพียงแค่ไทเฮา เจ้าจะเป็นหรือตาย เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?"กู้อวิ๋นซีไม่ได้พูดอะไร แถมยังขยับไปอยู่ในมุมๆ หนึ่งด้วยความเคยชินเพื่อเอาตัวเองออกห่างจากเขา"กลัวข้าเหรอ?" จวินเย่เสวียนหรี่ต
กู้อวิ๋นซีกำลังจะเปิดเสื้อของจวินเย่เสวียนออก แต่กลับถูกจวินเย่เสวียนคว้ามือเอาไว้ก่อนเขาจ้องมองนางด้วยดวงตาที่เคร่งขรึม แต่สีหน้ากลับยังคงเย็นชาเช่นเคย"เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่? คิดจะถอดเสื้อของข้าอย่างนั้นเหรอ?" เขาพูดเสียงเย็น "ข้าเป็นอะไรกับเจ้า? เจ้าช่างบังอาจมากนักนะ!""ท่านเป็นอะไรกับข้า ถอดเสื้อออก ทุกอย่างก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ?"ในใจของกู้อวิ๋นซีรู้สึกตื่นเต้น แต่นางก็พยายามดึงสติให้ตัวเองกลับมาสงบอย่างน้อย ก็แค่ให้สีหน้าดูสงบก็พอ"เสวียนอ๋องไม่กล้าเหรอ?" นางพูดพลางหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา" แกล้งข้าเล่นมันสนุกมากนักใช่หรือไม่?""ข้าเคยแกล้งเจ้าเล่นตั้งแต่เมื่อไรกัน?""ในเมื่อไม่มี เช่นนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกเถอะ ให้ข้าดูเอง!" กู้อวิ๋นซีพูดเสียงเบาๆน้ำตาแห้งเหือดไปแล้ว นางเงยหน้าเล็กๆ ขึ้น จ้องมองเขาอย่างดื้อรั้น!ตั้งแต่ที่นางได้เห็นเขาครั้งแรก โลกทั้งใบของนางก็เละตุ้มเป๊ะไปหมดตอนนี้ขนาดผู้ชายของตัวเองนางก็แยกไม่ออกแล้วในระยะนี้ ทุกครั้งที่เห็นเขา ในหัวก็รู้สึกมึนๆ งงๆนี่ก็คือเหตุผลที่ถึงแม้ฉู่หลีกับเสวียนอ๋องจะอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่นางรู้จักฉู่หลีมาป