ขณะที่กล่าวโจวไท่ฟู่ก็เดินตามหลังเจียงหวานหว่านไปแล้วเจียงหวานหว่านรั้งปลายเท้ากลับ หันมาเผชิญหน้ากับโจวไท่ฟู่“แม่นางโปรดรักษาอาการป่วยให้ภรรยาข้าด้วย ส่วนเรื่องสืบทอดทายาทนั้น ข้าหาได้สนใจไม่ ขอเพียงภรรยาร่างกายแข็งแรงก็พอแล้ว”วาจาของโจวไท่ฟู่ทำให้เจียงหวานหว่านประหลาดใจ ความมุ่งมาดปรารถนานี้ น้อยนักจะหาได้ในใต้หล้าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและโจวฮูหยินอยู่เหนือบรรทัดฐานทั่วไปนัก“ใต้เท้าโจวโปรดวางใจ ข้าย่อมทำสุดความสามารถ”เมื่อรู้ว่าอาการป่วยของภรรยามีโอกาสรักษาหาย โจวไท่ฟู่ก็โล่งใจอย่างมากหลังจากจุดกำยานแล้ว เจียงหวานหว่านก็เขียนเทียบยาชุดหนึ่งอย่างรอบคอบ แล้วมอบให้แก่โจวไท่ฟู่“กินยาตามเทียบยานี้ หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน ฮูหยินจะสามารถลุกจากเตียงได้ งดของเผ็ดร้อน อาหารการกินต้องเป็นรสอ่อนนะเจ้าคะ”โจวไท่ฟู่ตะลึงงัน ตื่นเต้นจนมือสั่น “แม่นางเจียง เพียงเจ็ดวันก็ลุกเดินได้แล้วหรือ”“อื้ม ข้าไม่พูดปดหรอกเจ้าค่ะ” เจียงหวานหว่านขยิบตาให้ท่าทีซุกซนโจวไท่ฟู่ละลำละลั่กกล่าว “หากภรรยาข้าหายดี แม่นางเจียงก็คือผู้มีพระคุณของข้าแล้ว”“หลังจากเจ็ดวัน ใต้เท้าส่งคนมารับข้า เพื่อที่ข้าจะ
เมื่อรถม้ามาถึงจวนเจียง ดวงตะวันก็ลาลับขอบฟ้าไปแล้วเจียงหวานหว่านเพิ่งจะเข้าไปในจวน ก็โดนแม่นมหลี่ขวางเอาไว้“คุณหนูหก ฮูหยินใหญ่เตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว เชิญคุณหนูหกทางนี้เจ้าค่ะ”ท่านยายช่างขยันจริงๆเจียงหวานหว่านพยักหน้ารับ แล้วตามแม่นมหลี่ไปยังเรือนของฮูหยินใหญ่เจียงเป็นดังที่แม่นมหลี่กล่าวไว้ ฮูหยินใหญ่เจียงตระเตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะแล้วใครจะรู้ว่าโต๊ะอาหารในครั้งนี้ ยังมีคนผู้หนึ่งซึ่งมีเจตนาอื่นแอบแฝงร่วมโต๊ะอยู่ด้วย เจียงป๋อเหนียน“คารวะท่านยาย คารวะท่านพ่อ”เจียงหวานหว่านย่อกายลงคำนับฮูหยินใหญ่เจียงเอ่ยด้วยความเมตตารักใคร่ “หว่านเจี่ยเอ๋อร์หิวแล้วกระมัง รีบมากินอะไรก่อนเถอะ”“ขอบคุณท่านยายเจ้าค่ะ”เจียงหวานหว่านผุดยิ้ม แล้วหย่อนกายนั่ง หันหน้าเผชิญกับเจียงป๋อเหนียนฮูหยินใหญ่เจียงวางถ้วยน้ำแกงถ้วยหนึ่งลงเบื้องหน้าของเจียงหวานหว่าน“นกนางแอ่นหิมะชั้นดี บำรุงร่างกายได้ดีที่สุด ลองชิมดูสิ”เจียงหวานหว่านรู้ว่าเหตุใดฮูหยินใหญ่เจียงถึงดีกับนางเช่นนี้ นางกลืนเลือดนกนางแอ่นลงไปเงียบๆฮูหยินใหญ่เจียงยังคีบอาหารใส่ถ้วยนางไม่หยุด ด้วยเกรงว่านางจะกินไม่อิ่มด้านเจียงป
แม่นมหลี่เชิญเจียงป๋อเหนียนออกไป“หว่านเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าใจร้อนเกินไป เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลเจียง พ่อเจ้าก็เป็นห่วงเจ้า ถึงได้พูดเกินไปบ้าง”เจียงหวานหว่านควบคุมอารมณ์ของตัวเอง “ท่านย่า หลานเข้าใจเจ้าค่ะ”“อาการป่วยของโจวฮูหยิน เจ้ารักษาได้หรือไม่”ฮูหยินใหญ่เจียงถามอย่างไม่แน่ใจโจวฮูหยินป่วยมานานแล้ว ทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดี“แน่ใจว่าจะรักษาได้เจ็ดในสิบส่วนเจ้าค่ะ”เจียงหวานหว่านพูดช้าๆฮูหยินใหญ่เจียงตกตะลึง มั่นใจเจ็ดในสิบส่วน หากเกิดเรื่องผิดพลาด คงได้รับผิดชอบผลที่ตามมาแน่ๆ“หว่านเจี่ยเอ๋อร์ หาข้ออ้างปฏิเสธไปเถอะ หากรักษาไม่ได้จะเดือดร้อนเอา”ในด้านการแสวงหาโชคดีหลบเลี่ยงโชคร้ายนั้น เมื่อเทียบกับเจียงป๋อเหนียนแล้ว ฮูหยินใหญ่เจียงมีแต่ล้ำหน้ากว่าไม่มีคำว่าเสมอกัน“ท่านย่าไม่ต้องกังวล อาจารย์โจวรับปากว่า หากรักษาไม่หายจะไม่กล่าวโทษข้า”ฮูหยินใหญ่เจียงไม่คาดคิดว่าโจวไท่ฟู่จะเข้าใจและมีเหตุผลถึงเพียงนี้พอมาลองคิดดูก็รู้ว่าควรเป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นหมอหลวงหรือหมอชาวบ้าน ก็ไม่มีใครสามารถรักษาโจวฮูหยินได้แม้แต่คนเดียวที่โจวไท่ฟู่ให้หว่านเจี่ยเอ๋อร์ ไปตร
เจียงอวิ้นคิดไม่ถึงว่าเจียงหวานหว่านจะรู้วิชาแพทย์ด้วย“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าว่าสาวบ้านๆ อย่างเจียงหวานหว่าน ทำไมถึงรู้วิชาแพทย์ล่ะ”เมื่อเจียงอวิ้นได้ยินคำพูดของแม่ ในใจก็เกิดความกังขาอยู่เช่นกันหลิ่วซู่รู้จักตัวอักษรไม่กี่ตัวด้วยซ้ำ แต่เจียงหวานหว่านไม่เพียงแต่วาดภาพเก่งเท่านั้น แต่ยังรู้วิชาแพทย์อีกด้วย “ท่านแม่ ทำไมไม่ส่งคนกลับสืบเรื่องสกุลหลิวที่บ้านเกิดของท่านพ่อดูเจ้าคะ”เฉาหยูเฟิ่งพูดอย่างไม่เห็นด้วย “มีอะไรให้สืบล่ะ นับตั้งแต่แต่งงานกับพ่อของเจ้า ข้าก็รู้จักสกุลหลิ่วแล้ว รู้ด้วยซ้ำว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร”แต่เจียงอวิ้นยังคงยืนกรานในความคิดเห็นตัวเอง “ท่านแม่ ไปสืบดูให้แน่ชัดอีกดีกว่า ข้าดูๆ แล้วรู้สึกว่าเจียงหวานหว่านดูเค้าหน้าไม่เหมือนท่านพ่อและไม่เหมือนสกุลหลิ่วด้วย อีกอย่างหลังจากสกุลหลิ่วคลอดลูกแล้วก็ไม่ได้มาหาเราอีก ไม่แน่ว่าอาจมีบางอย่างซ่อนอยู่”เมื่อเฉาหยูเฟิ่งได้ยินดังนี้ นางก็คึกคักขึ้นมาทันทีหากพิสูจน์ได้ว่าเจียงหวานหว่านไม่ใช่ทายาทของตระกูลเจียง ก็หมายความว่าสกุลหลิ่วไม่รักษาจารีตหญิง มีความสัมพันธ์กับชายชู้การดึงสกุลหลิ่วลงจากตำแหน่งภรรยาเอกก็คงจะรอไม่นานแ
เจียงหวานหว่านผลิยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านอ๋องให้เกียรติมากพอแล้ว ถ้าขืนข้าได้คืบจะเอาศอกอีก ท่านคิดว่าเหมาะสมแล้วหรือเจ้าคะ”“แค่ให้เจ้าพูดถึงหนเดียวเท่านั้น”เจียงป๋อเหนียนกล่าวอย่างไม่อดทนเจียงหวานหว่านยิ้มเล็กน้อย “ท่านพ่อ หากข้าพูดถึง เกรงว่าวันหน้าจะไม่สามารถเข้าประตูจวนอ๋องได้อีกแล้ว”“เจ้าไม่ยอมช่วยรึ”เจียงป๋อเหนียนปรายตามอง ท่าทางไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากนัยน์ตาของเจียงหวานหว่านตวัดแววเยียบเย็น “ท่านพ่อ ลูกคิดว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะกับการเลื่อนตำแหน่ง ท่านพ่อรอสักพักก่อนดีหรือไม่”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”เจียงป๋อเหนียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่าเจียงหวานหว่านไปได้ยินเรื่องอะไรมา“ระหว่างทางที่ลูกกับท่านแม่เดินทางมายังเมืองหลวง เห็นมีผู้ประสบภัยจำนวนมาก ท่านพ่อรับตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักตรวจตราฝ่ายซ่ายในยามนี้จึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม”เจียงป๋อเหนียนดูงุนงง “ผู้ประสบภัยเกี่ยวข้องกับตำแหน่งนั้นอย่างไร”“ท่านพ่อ ถ้าฝ่าบาทให้ท่านพ่อไปตรวจตราภัยฟ้าฝนแห้งแล้ง ท่านพ่อมีมาตรการรับมือหรือไม่”เจียงหวานหว่านมองไปยังเจียงป๋อเหนียนด้วยรอยยิ้ม“แน่นอนว่าต้องจัดสร
ชิวเซียงสาวใช้คนสนิทของเจียงจิ่นหนิงรวบรวมความกล้า เดินมาต่อหน้าเจียงหวานหว่านอย่างระมัดระวัง“คุณหนูหก”เจียงหวานหว่านไม่สนใจสาวใช้ชิวเซียง นางเดินตรงไปที่กรงนกทันทีเอื้อมมือหยิบผ้าสีดำที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาคลุมกรงนกไว้เมื่อนกแก้วเห็นความมืด มันก็หยุดร้องเจียงหวานหว่านยกกรงนกลง“คุณหนูหก ถ้านกแก้วหายไป บ่าวก็ไม่รู้จะอธิบายกับนายน้อยห้าว่าอย่างไร”ชิวเซียงพูดอย่างหวาดกลัวเจียงหวานหว่านเหลือบมองนาง “แค่บอกความจริงไป”หลังจากพูดจบ เจียงหวานหว่านก็หันหลังกลับ และอุ้มนกแก้วจากไปชิวเซียงกระทืบเท้า ถ้านายน้อยห้ารู้เรื่องนี้ คงจะโกรธมากแน่นอนเจียงหวานหว่านถือนกแก้วไว้ในมือ ยิ้มเยาะอยู่ในใจเจียงจิ่นหนิงหัวแข็งมาก ต้องให้เขาได้รับบทเรียนบ้างเมื่อเดินไปถึงห้องครัวเล็ก ก็เห็นมู่เซียงกำลังนั่งจุดไฟข้างเตาไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ ท่าทางดูเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“มู่เซียง”เจียงหวานหว่านตะโกน แต่มู่เซียงเหมือนจะไม่ได้ยินนางเมื่อเห็นว่ามู่เซียงดูแปลกๆ เจียงหวานหว่านก็ประหลาดใจ เดินไปหามู่เซียง“คุณ...หนู!” ครั้นเห็นว่ามีคนอยู่หน้าหน้าตนเอง พอมู่เซียงจำได้ว่าเป็นใ
เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงหวานหว่าน เจียงจิ่นหนิงก็รู้สึกร้อนตัว แต่ฝืนพูดอย่างใจกล้า “ข้าพอใจ”“ช่างบังเอิญเสียจริง ข้าก็พอใจ ที่ได้สั่งสอนความเป็นคนให้เจ้า”ขณะที่นางพูด เจียงหวานหว่านก็ยืนขึ้น ขยับข้อมือยืดเส้นยืดสาย แล้วง้างมือขึ้นฟาดหน้าเจียงจิ่นหนิงเมื่อหลิ่วซู่เห็นดังนี้ แม้ว่าใจจะทนไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้บอกให้นางหยุดตอนที่หวานเจี่ยเออร์กลับมา ได้เล่าเรื่องที่เจียงจิ่นหนิงสอนนกแก้วพูดให้นางฟังแล้วลูกชายคนนี้ถูกเฉาหยูเฟิ่งเลี้ยงดูให้เสียคน การที่หวานเจี่ยเออร์จัดการเขาก็นับเป็นการช่วยสั่งสอนเขานางเชื่อว่าหวานเจี่ยเออร์รู้ดีว่าอะไรควรไม่ควรคนที่รู้จักเจียงหวานหว่านดีที่สุดคือหลิ่วซู่ แม้ว่าเจียงหวานหว่านจะทำร้ายเจียงจิ่นหนิง แต่นางก็หลีกเลี่ยงส่วนสำคัญได้เจียงจิ่นหนิงถูกทุบตีจนไม่แรงสู้กลับ“วันๆ เอาแต่เล่น จะตีไก่จูงนกก็ช่างเถอะ แต่กลับมาด่าทอสาปแช่งผู้ใหญ่ ข้าว่าเจ้าอยากตายแล้วจริงๆ”เจียงหวานหว่านเตะเจียงจิ่นหนิงอย่างแรงหลายครั้งถ้าไม่กังวลว่าท่านแม่จะเสียใจ นางคงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆหลังจากจัดการเจียงจิ่นหนิงแล้ว เจียงหวานหว่านก็สั่งให้คนพาเจียงจิ่นหนิงกลับเรือนเจ
เจียงหวานหว่านขึ้นรถม้าโดยมีสายตาของเทียนซูที่มองหัวจรดเท้าเทียนซูพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วนำเจียงหวานหว่านตรงไปยังจวนอ๋องหลังจากเข้ามายังจวนอ๋อง เดิมทีเทียนซูจะพาเจียงหวานหว่านไปพบท่านอ๋องแต่ถูกเรียกตัวระหว่างทาง เทียนซูมองเจียงหวานหว่านอย่างลำบากใจ“ถ้าท่านมีธุระ ก็ไปเถิด ข้าไปเข้าพบท่านอ๋องเอง”เจียงหวานหว่านกล่าวตอบด้วยความเข้าใจเทียนซูเห็นว่าเจียงหวานหว่านเป็นแขกประจำของจวนอ๋องอยู่แล้วจึงพยักหน้าและเดินจากไปเจียงหวานหว่านรู้สึกโหวงๆ ขึ้นกลางอก นางมักจะสับสนกับเส้นทางเล็กน้อยปกติเซี่ยงหรงเป็นคนพาเข้ามา แต่วันนี้นางจำต้องเดินไปข้างหน้าด้วยตัวคนเดียวเมื่อเห็นว่าตัวเองเดินกลับมายังที่เดิมเจียงหวานหว่านก็ถอนหายใจ นางเดินไปมาทางเดิมสามครั้งแล้วความจริงได้รับการยืนยันแล้วว่านางหลงทางแล้วอยากจะถามทางใครสักคน รออยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่เห็นมีใครเจียงหวานหว่านเดินจนเหนื่อย ในใจพลางบ่นตำหนิ จวนอ๋องใหญ่เกินไปแล้วนางมองดูรอบๆ พลางเห็นประตูเรือนข้างเปิดอยู่ เจียงหวานหว่านจึงเดินเข้าไปนางหวังว่าจะมีใครอยู่ในนั้นแล้วชี้ทางให้กับนางนางย่ำเท้าเดินเข้าไปข้างในพลางเห็นว่ามีความเค