มู่จิ่วซีหันไปมองไป๋เฟิ่งหว่านที่โกรธโมโหอย่างกับอยากจะกระโจนมาจับนางฉีกเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ยิ้มเยาะเย้ยกล่าวออกมา : "ถ้าเจ้าอยากจะคิดแบบนั้น ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก พระดำริของพระพันปีหลวงข้าเองก็คาดคะเนไม่ได้ ถ้าไม่มีธุระอื่นแล้ว จิ่วซีก็ขอลา"มู่จิ่วซีพอพูดจบก็ย่อตัวทำความเคารพฮูหยินรองและหันหลังเดินกลับออกไป"คุณหนูใหญ่มู่" จ้วงชิงเหมยจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมา และเดินเข้ามาหามู่จิ่วซีมู่จิ่วซีถึงกับใจเต้น ร่างกายของนางเตรียมพร้อมที่จะรับมือพร้อมกับหันกลับไปมองนางจ้วงชิงเหมยเข้ามาใกล้นางและพูดเสียงเบา : "เจ้าจะโหดร้ายแบบนั้นจริงๆ งั้นเหรอ?""ฮูหยินรองหมายความว่ายังไง? ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย" มู่จิ่วซีหัวเราะเยาะ"ถ้าข้ากลายเป็นคุณหญิงใหญ่ของท่านอัครมหาเสนาบดี เจ้าเองก็ได้ประโยชน์ไม่น้อย แต่ถ้าหากข้าไม่ได้เป็น ความแค้นนี้ข้าจะเก็บเอาไว้ชำระกับเจ้า คุณหนูใหญ่มู่" เห็นได้ชัดว่าจ้วงชิงเหมยกำลังคุกคามนาง"ฮูหยินรอง เจ้าคิดว่าความแค้นที่เจ้าจะมาชำระกับข้ามู่จิ่วซีคนนี้มันน้อยงั้นเหรอ?" มู่จิ่วซีก้หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นและสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันทีจ้วงชิงเหมยที่อยู่อยู่ด้านก็จ้องมู่จิ่วซีเ
คิดว่าตัวเองไม่อาจเทียบกับนักโทษของราชสำนักคนนึงได้งั้นเหรอ ? หรือไม่ใช่เพราะว่าเซียวหลิงเย่ว์คือคนรักเก่าของเขาหรือไง !"ที่นี่ไม่เหมาะจะมาพูดคุย รอข้าออกมาค่อยหาที่คุยจะดีกว่าไหม?" โม่จุนเห็นสีหน้าที่เย็นชาของมู่จิ่วซี เขารู้สึกว่าควรต้องทำอะไรสักอย่างตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไร้การศึกษาและความสามารถเหมือนที่เขาเคยได้ยินมาคนนั้น ถ้าจัดการนางได้ไม่ดีก็ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดอันตรายมากอีกแค่ไหนมู่จิ่วซีหรี่ตาลงและมองไปที่เขาอยู่ร้านหนึ่โม่จุนรีบกล่าวขึ้นมา : "ถนนแถวนี้มีหอชมจันทร์อยู่ร้านหนึ่ง ขนมเองก็รสชาติไม่เลว ข้าเลี้ยงคุณหนูใหญ่มู่เองเป็นไง?""เอาอกเอาใจขนาดนี้? ทำดีหวังผลสินะ งั้นก็ได้! ข้าก็อยากจะรู้ว่าเจ้าจะอธิบายอย่างไร เย่ฮาน ไปกันเถอะ" มู่จิ่วซีเชิดหน้าราวกับอวดดีอยู่เล็กน้อยและก็ขึ้นรถม้าไปเย่ฮานเองก็ยิ้มให้กับท่านผู้สำเร็จราชการแทนอย่างเขินๆ จากนั้นก็เรียกคนขับเกวียนม้าให้รีบออกรถ"อานเย่!" ท่านผู้สำเร็จราชการแทนเรียกออกมาเพียงแค่หนึ่งคำ องครักษ์อานเย่ก็เดินออกมาจากมุมด้านหนึ่ง "เจ้าไปที่หอชมจันทร์ก่อนและดูแลคุณหนูใหญ่มู่ให้ดี""พะยะค่ะ!" อานเย่น้อมรับคำส
โม่จุนใบหน้าอึมครึมจ้อมองไปที่ปากเล็กๆ ที่งดงามของนางที่กำลังพะงาบพูดอยู่พร้อมกับคิดว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ช่างพูดนัก แต่ก่อนเข้าไม่เคยเข้าใจนางเลยจริงๆ"เจ้าพูดเถอะได้เตรียมจัดการไว้อย่างไร?" มู่จิ่วซีพอพูดจบก็ดื่มชาหมดทั้งถ้วยพร้อมกับสายตาที่มองโม่จุนด้วยความไม่พอใจโม่จุนกระแอ่มในลำคอและกล่าว : "เจ้าอย่าเพิ่งกังวล ข้าไม่เคยพูดว่าจะไม่ฆ่าเซียวเจี้ยน เขาเดิมทีก็ได้หลบหนีความผิด ที่ไม่ฆ่าเขาเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังเขา""คนที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่ว่าเซียวหลิงเย่ว์หรอกเหรอ?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้วพร้อมกับสีหน้าที่บกบอกว่าเจ้าอย่ามาหรอกข้า"เจ้าคิดว่าเซียวหลิงเย่ว์ผู้หญิงคนเดียวสามารถทำได้ขนาดนี้งั้นเหรอ?" โม่จุนขมวดคิ้วกล่าว"ถ้าเจ้าพูดแบบนี้ข้าก็ไม่อยากฟังแล้ว ผู้หญิงคนเดียวสามารถทำได้ขนาดนี้หมายความว่าอะไร เจ้าดูถูกผู้หญิงหรอ?"มู่จิ่วซีรู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังแล้วไม่สบอารมณ์เลย ทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจเหมือนถูกเหมารวมไปด้วย"เซียวหลิงเย่ว์ไม่เหมือนกับเจ้า นางคือสนมเอกสามและก็ยังมีลูกสาวด้วยและยังต้องคอยดูแลเสด็จลุงสามที่นั่งรถเข็นอยู่ในจวนของท่านจวนอ๋องสามตลอดเวลา น้อยครั้งนักที่จะได้ออก
"ต่อให้เป็นนางจริง เจ้าก็เจ้าเป็นต้องมีหลักฐานยืนยัน" โม่จุนขมวดคิ้วกล่าว"หลักฐานก็ที่เซียวเจี้ยนไปพบนาง ยังไม่เรียกว่าหลักฐานอีกเหรอ? จับเซียวเจี้ยนมาเค้นถามล่ะเป็นไง?" มู่จิ่วซีหัวเราะเยาะกล่าว "ข้าทำให้เขาคายบอกคนที่อยู่เบื้องหลังตัวจริงออกมไาด้แน่""เจ้าเข้าใจเซียวหลิงเย่ว์ผิดไแล้วจริงๆ หรือว่าข้าพาเจ้าไปหน้านางสักครั้งล่ะเป็นไง?" โม่จุนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา"ไปพบเซียวหลิงเย่ว์? ไปที่จวนท่านอ๋องสาม?" มู่จิ่วซีรู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย"อืม ข้ากำลังจะไปพบท่านอ๋องสามพอดี" โม่จุนเลิกคิ้วเล็กน้อย"โม่จุน เจ้าคงไม่ใช่ว่าอยากคุยกับเซียวหลิงเย่ว์เป็นการส่วนตัวเลยเอาข้าไปเป็นข้ออ้างหรอกใช่ไหม?" มู่จิ่วซีรู้สึกแบบนั้น"เจ้าพูดไร้สาระ!" โม่จุนสีหน้าเปลี่ยนในทันที แววตาสองข้างเหมือนมีไฟความโกรธปะทุขึ้นมา "มู่จิ่วซี ข้าจะพูดอีกครั้ง ข้าไม่ได้คิดกับเซียวหลิงเย่ว์แบบนั้น!""ได้ได้ได้ จะขึ้นเสียงแบบนั้นทำไม อายแล้วทำมาโกรธกลบเกลื่อน" ประโยคคำพูดของมู่จิ่วซีอีกนิดก็ทำให้โม่จุนอยากจะลงไม้ลงมือได้แล้วทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาเสียงเคาะประตูดังขึ้น อานเย่กล
ฮั้วอวิ๋นเทียนหันไปมองและนั่งลงโดยไม่พูดอะไร รอบกายของโม่จุนแผ่ซ่านไปด้วยบรรยากาศเย็นเยือก ฮั้วอวิ๋นเทียนหันไปมองมู่จิ่วซีและเอ่ย : "อาจื่อแม้มีวรยุทธ แต่ก็เป็นเพียงวรยุทธแมวสามขาแค่นั้น นางยังห่างชั้นกับพี่สาวมาก""หรอ?" มู่จิ่วซีสะดุ้งใจหาย "จอนนี้ข้าฝึกฝนเฟิงเหยียนหยูเฟยไปได้แล้วประมาณสี่ส่วนแล้ว ถ้าลองอ้างอิงเทียบความสามารถกับแม่หญิงอาจื่อ ข้าพอจะชนะนางได้ไหม?""เจ้าฝึกฝนเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ? งั้นก็ดีมาก กำลังภายในของอาจื่ออ่อนแอมาก ต่อให้คุณหนูใหญ่มู่ไม่มีกำลังภายใน แค่ใช้กระบวนท่าธรรมดาก็เอาชนะนางได้แล้ว สุขภาพนางไม่ดีมาโดยตลอด ข้าก็ไม่เคยเห็นนางฝึกวรยุทธมากมายอะไร ก็คงประมาณนี้แแหละ"ฮั้วอวิ๋นเทียนพอพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจออกมามู่จิ่วซีเองก็อดไม่ได้จริงๆ จนส่งเสียงไม่พอใจผ่านจมูกออกมาฮั้วอวิ๋นเทียนก็กล่าวออกมาอย่างแปลกๆ : "ทำไมเจ้าทำสีหน้าแบบนั้น?""ข้ารู้สึกว่าผู้ชายอย่างพวกเจ้าที่มันหลอกง่ายจริงๆ" มู่จิ่วซีส่ายหัวอย่างดูหมิ่น จากนั้นก็ถอนหายใจ สีหน้าของนางราวกับว่าเหล็กนั้นจะได้เป็นเหล็กกล้า (เหล็กนั้นจะได้เป็นเหล็กกล้า หมายถึง ตั้งความหวังไว้สูง หวังว่าจะเก่งกาจ ได้ดิบไ
เสียงราวกับราชสีห์คำรามก็ได้ทำให้แขกในหอชมจันทร์ทั้งหมดตกใจจะสะดุ้ง ด้านมีเสียงฝีเท้าสับสนอลหม่าน อานเย่ เย่ฮานและลู่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงปากประตูก็ตกใจจนหน้าถอดสี พวกเขาต่างมองหน้ากันและไม่รู้ว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้น"โตอายุขนาดนี้แล้ว จะคุยกันดีๆ ไม่ได้หรือไง? นั่งลงเดี๋ยวนี้! ข้ายังมีเรื่องที่ต้องพูดอีก! ข้าไม่ได้มีเวลามาเล่นกับพวกเจ้าสองคนหรอกนะ!"ใบหน้าอันงดงามของมู่จิ่วซีก็ดุร้ายขึ้นมาในทันที รอบตัวของนางเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ดุร้ายบรรยากาศที่แผ่ซ่านออกมาของทั้งสามคนก็ปะทะกันและไม่มีใครด้อยไปกว่าใครใบหน้าของชายสองคนยากที่จะดูได้ แต่พวกเขาก็มองหน้ากันครู่หนึ่งและนั่งลง"โม่จุน เจ้าไปหาเวลาให้ดี ข้าจะไปที่จวนอ๋องสามกับเจ้า ถ้าเรื่องนี้ไม่ทำให้กระจ่าง ข้าคงจะไม่สบายใจ!" มู่จิ่วซีกล่าวออกไปอย่างเย็นชาจากนั้นก็หันไปมองฮั้วอวิ๋นเทียนและกล่าว : "เจ้าสำนักฮั้ว เจ้าออกเดินทางไปอย่างสบายใจเถอะ ข้าสัญญาว่แม่หญิงอาจื่อจะมีเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ว่าเมื่อเจ้ากลับมาเจ้าจะต้องเอาเฟิงเหยียนหยูเฟยส่วนที่สองให้กับข้า"ฮั้วอวิ๋นเทียนพยักหน้าทันที : "ได้ ตกลงตามนี้""ข้าขอถามหน่อยได่้ไหม เจ้าไ
โม่จุนเหมือนกับถูกเหยียบหางจิ้งจอกของเขาอย่างใดอย่างนั้นและรีบกล่าวปฏิเสธขึ้นมา : "เจ้าพูดไร้สาระอะไรของเจ้า ข้าจะไปชอบเจ้าได้ยังไง? เจ้าเลิกฝันได้แล้ว!""ได้ได้ได้ ข้าพูดผิดไปแล้ว แต่สีหน้าของเจ้าทำให้คนรู้สึกสงสัยจริงๆ ดังนั้นถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าเข้าใจผิด หลังจากนี้ก็อิจฉาฮั้วอวิ๋นเทียนให้น้อยหน่อยจะได้ไหม?""ใครอิจฉาเขา! ข้าก็แค่รู้สึกว่าเขาขวางหูขวางตาก็เท่านั้น! เจ้าอย่าคิดเองเออเอง" ใบหน้าหล่อเหลาของโม่จุนก็ร้อนผ่าวขึ้นมาแต่ว่าในใจของเขากลับรู้สึกร้อนตัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาเลยรีบคีบเกี๊ยวยัดเข้าไปในปากและเคี้ยวอย่างดุดันแต่พอเขาได้ไตร่ตรองก็รู้สึกไม่ถูกต้อง เขาจะต้องร้อนตัวอะไรด้วย?เขาจะไปชอบมู่จิ่วซีผู้หญิงประเภทนี้ได้อย่างไร แม้ว่าจะต่างจากที่คนนินทากันข้างนอก อีกอย่างนางก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรดี แต่ปากของนางราวกับแทบจะสามารถวางยาพิษคนให้ตายได้นั้น เขาจะไปชอบผู้หญิงที่ปากจัดแบบนี้ได้อย่างไร ไม่มีทาง!โม่จุนยิ่งครุ่นคิดกับตัวเอง ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองแปลกออกไป เขาจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันและกล่าว : "ข้าลืมธุระไปเรื่องหนึ่ง ข้าคงต้องรีบไปแล้ว วันมะรืนข้าจะไปรับเจ้า"พอเขาพ
มู่จิ่วซียิ่นหัวออกไปพร้อมกับกล่าวอย่างยิ้มแย้มอารมณ์ดี : "ดูเหมือนชีวิตยากจนต่อจากนี้คงห่างหายออกไปจากชีวิตข้ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว""คุณหนู ท่านยังนับว่าจนอีกหรือเจ้าคะ" ลู่เอ๋อร์ไม่รู้จะร้องไห้ดีหรือหัวเราะดี"ของที่ข้าอยากจะซื้อมีเยอะมาก แน่นอนว่าข้าขาดแคลนเงิน จะให้ข้าพึ่งพิงท่านพ่อท่านแม่ไปตลอดคงไม่ได้หรอก ต้องเรียนรู้ที่จะหาเงินด้วยตัวเอง" ชาติก่อนของมู่จิ่วซีได้หลงทุนหลายอุตสาหกรรม นางชอบที่จะหาเงินจากหลายๆ ทางผู้หญิงขอเพียงมีเงินถึงจะมีคุณค่าและยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเองขึ้นมาได้ ไม่ต้องถูกผู้ชายดูถูก"คุณหนู ชานมนั้นอร่อยมากจริงๆ แต่ว่าถ้าทุกคนรู้ว่าทำอย่างไรแล้วทำเลียนแบบขึ้นมาล่ะเจ้าคะ?" ลู่เอ๋อร์รู้สึกว่าการทำชานมไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น"ต้องมีคนรู้อยู่แล้วล่ะ แต่ว่าธุรกิจของเราอยู่ระดับแนวหน้า เราสามารถเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มไปได้อีก แบบนี้ต่อให้ถูกครูพักลักจำไป ธุรกิจเราก็จะไม่มีทางซบเซา"มู่จิ่วซีในใจก็คิดว่านางเป็นคนในยุคปัจจุบันเพียงคนเดียวที่ทำธุรกิจในยุคราชวงศ์แบบนี้ หากนางยังทำได้ไม่ดี งั้นนางก็ควรเอาหัวกระแทกกำแพงตายได้แล้ว"คุณหนูช่างเฉียบแหลมมากเจ้าคะ" ลู่เอ๋