Share

บทที่ 14

พ่อบ้านโจวมีภาพลักษณ์เหมือนคนใจดีมีเมตตา ทว่าความจริงแล้วเป็นคนใจดำอำมหิตยิ่งนัก เมื่อก่อนที่ร่างเดิมถูกบ่าวในจวนสกุลหลินกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เพราะมีพ่อบ้านโจวคอยยุยงส่งเสริมนี่แหละ

เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่บ่าวหญิงแซ่จูคนนี้เลย สาเหตุที่นางกล้าเอะอะโวยวายเช่นนี้ คงเพราะได้รับอนุญาตจากพ่อบ้านโจวแล้วน่ะสิ

ลัทธิเต๋าให้ความสำคัญกับเรื่องกงกรรมกงเกวียน พ่อบ้านโจวคนนี้ทำเรื่องชั่วร้ายเอาไว้มาก แล้วยังพรากชีวิตคนไปอีก

หลังจากเขาได้พบกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็สมควรจะโดนกรรมตามสนองเสียที

พ่อบ้านโจวได้ยินคำถามของนางก็ขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ดวงของผู้อื่นเป็นอย่างไรข้าไม่อาจทราบ แต่ว่าดวงชะตาของคุณหนูต่างสกุลเห็นชัดเลยว่าลำบากยากเข็ญ”

“นายท่านให้ข้ามาเชิญคุณหนูต่างสกุลไปที่ห้องหนังสือ เชิญคุณหนูตามข้ามาทางนี้เถอะ!”

เฟิ่งชูอิ่งมองเขาปราดหนึ่งแล้วกล่าว “พักหลังมานี้ข้าศึกษาเกี่ยวกับการดูโหงวเฮ้งของคน จนพอจะมีความรู้อยู่บ้าง”

“ข้าเห็นว่าพ่อบ้านโจวหน้าตาหมองหม่น คิ้วขมวดเป็นปม คางมีรอยน้ำลากผ่าน มีโอกาสจะจมน้ำได้นะ”

“แม้การศึกษาศาสตร์ลี้ลับพวกนี้จะฟังดูงมงามไปสักหน่อย แต่พ่อบ้านโจวระวังตัวเอาไว้บ้างก็ดี”

นางกล่าวจบก็ตบไหล่ของพ่อบ้านโจวเบาๆ ปัดตะเกียงชีวิตที่อยู่บนไหล่ของเขาจนมอดดับ

วิญญาณร้ายที่วนเวียนตามติดพ่อบ้านโจวเห็นนางเข้ามาใกล้ ก็หวาดกลัวจนถอยไปหลบอยู่ด้านหลังเขา

หลังจากนางดับตะเกียงชีวิตบนบ่าของพ่อบ้านโจวแล้ว วิญญาณร้ายก็มองนางด้วยท่าทางประหลาดใจ

นางหันไปยิ้มให้วิญญาณร้ายเล็กน้อย ทว่ารอยยิ้มของนางกลับดูเป็นการท้าทายในมุมมองของพ่อบ้านโจว

พ่อบ้านโจวคิดว่าการกระทำในช่วงสองวันที่ผ่านมาของนาง เป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนมากจริงๆ

นางก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรคนหนึ่ง หากถูกคนในจวนสกุลหลินรังแกก็สมควรจะอดทนไปเงียบๆ การต่อต้านขัดขืนเช่นนี้ มิต่างอะไรกับการรนหาที่ตายสักนิด!

เขาเอ่ยเสียงเย็นชา “ขอบพระคุณคุณหนูต่างสกุลที่หวังดี แต่ไม่จำเป็นหรอก ปกติข้าไม่เคยเข้าใกล้น้ำอยู่แล้ว”

เฟิ่งชูอิ่งที่บรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้วก็ไม่คิดจะพูดให้มากความ นางเดินตามเขาไปที่ห้องหนังสือของหลินชูเจิ้ง

ก่อนจะไป เขาได้สั่งให้คนพาตัวบ่าวหญิงแซ่จูและลูกชายของนางมาด้วย

พอพวกเขามาถึง บ่าวหญิงแซ่จูก็โวยวายเสียงดัง “คุณหนูต่างสกุลนางเป็นบ้าไปแล้ว อยู่ดีๆ ก็มาตบตีทำร้ายพวกเราสองคนแม่ลูก นายท่านได้โปรดคืนความเป็นธรรมด้วย!”

หลินชูเจิ้งจึงกล่าวกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ก่อนหน้านี้ท่านป้าของเจ้ามาฟ้องว่าเจ้าทำตัวกำเริบเสิบสาน ข้าก็ยังไม่เชื่อหรอก

“แต่ดูแต่ละอย่างที่เจ้าทำหลังจากกลับมาถึงจวนเมื่อวานสิ มีแต่เรื่องอะไรทั้งนั้นเลย!”

เขาต้องการแสดงอำนาจของตนให้เป็นที่ประจักษ์ จึงตบโต๊ะเสียฉาดใหญ่ ท่าทางดุร้ายน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

อันที่จริงเขาไม่อยากจะจัดการเรื่องของเฟิ่งชูอิ่งเองหรอก แต่เพราะเมื่อคืนนี้ฮว๋าซื่อถูกสาวใช้ฟันจนบาดเจ็บ มาวันนี้ก็จับไข้ตัวร้อน ป่วยหนักจนลุกขึ้นมาจัดการเรื่องราวในจวนไม่ได้

อีกอย่างเรื่องที่เฟิ่งชูอิ่งตบตีข้ารับใช้ในจวนก็เป็นเรื่องใหญ่มากด้วย หากเขาไม่จัดการให้ดี เกรงว่านางจะกลายเป็นเจ้านายคนใหม่ของจวนสกุลหลินไปแทน

ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้น

เฟิ่งชูอิ่งถามหลินชูเจิ้ง “เรียนถามท่านลุง ข้าทำอะไรไปบ้างหรือ?”

หลินชูเจิ้งตวาดอย่างเดือดดาล “พอเจ้ากลับมาถึงจวน ก็อาละวาดจนคนในจวนแตกตื่นวุ่นวายไปหมด เจ้ายังมีเหตุผลอยู่บ้างหรือไม่!”

เฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยดวงตาแดงก่ำ “ข้าพักอยู่ในห้องของข้าดีๆ ไม่เคยก้าวขาออกจากประตูไปไหนเลย พวกเขาต่างหากล่ะที่บุกมารังแกข้าถึงที่ห้อง

“ข้ามาขออาศัยจวนสกุลหลิน แต่ท่านลุงบอกกับข้าเสมอว่าให้ข้ามองจวนสกุลหลินเป็นบ้านตัวเอง

“ขอถามท่านลุงหน่อยเถอะ ว่าท่านยังยืนยันคำพูดเดิมอยู่หรือไม่?

“หากท่านยังยืนยันคำเดิม ดีร้ายอย่างไรข้าก็ยังเป็นคุณหนูต่างสกุลของจวนหลิน เป็นเจ้านายคนหนึ่ง ใช่คนที่บ่าวรับใช้พวกนี้สามารถรังแกได้ตามใจชอบหรือ?

“หากท่านหลงลืมคำพูดของตัวเองไปแล้ว วันนี้ข้าเติบโตพอจนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ก็จะไม่ขอรบกวนท่านลุงอีกต่อไป

“วานท่านลุงช่วยนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพ่อแม่ข้ามาคืนด้วย ข้าจะย้ายออกจากจวนสกุลหลินเดี๋ยวนี้เลย!”

หลินชูเจิ้งคาดไม่ถึงเลยว่านางจะขอย้ายออกจากจวนสกุลหลิน แล้วเขาก็ไม่เคยคิดจะคืนทรัพย์สมบัติให้นางตั้งแต่แรกด้วย

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status