สำหรับเขาแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดที่นางเอาติดตัวมาด้วยสมควรจะเป็นของเขา!ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เขาเป็นคนเสนอยกนางให้แต่งงานกับจิ่งโม่เยี่ย เพราะการตายของนางจะสร้างประโยชน์มหาศาลต่อเขา แล้วเรื่องอะไรเขาจะยอมให้นางย้ายออกจากจวนสกุลหลินล่ะ?เขาจึงรีบกล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วยล่ะ?“เจ้าลงมือทำร้ายคนในจวนแท้ๆ แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน?”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วกล่าวว่า “ขอถามท่านลุง โจรที่บุกเข้าไปในเรือนของข้าเมื่อคืน จับตัวได้หรือยังเจ้าคะ?”หลินชูเจิ้ง “...ยังจับตัวไม่ได้หรอก เขาหนีไปแล้ว”เฟิ่งชูอิ่งแสยะยิ้ม “ข้าจะบอกความลับอะไรให้ท่านลุงฟังอย่างหนึ่ง เมื่อคืนตอนที่โจรคนนั้นบุกเข้ามาในห้องของข้า ข้ามองเห็นใบหน้าของเขาเจ้าค่ะ”หลินชูเจิ้ง “!!!!!”สีหน้าของเขาแข็งค้างอย่างฉับพลัน จนรู้สึกปวดใบหน้าเล็กน้อยเฟิ่งชูอิ่งกล่าวอีกว่า “ท่านลุง ข้าเชื่อมาตลอดว่าท่านเป็นคนยุติธรรม ดังนั้นถึงได้เชื่อใจว่าท่านจะจับตัวโจรที่แอบลอบเข้ามาในห้องของข้ากลางดึกได้“ท่านลุงช่วยตอบข้าที ตอนนี้ลูกชายคนโตของบ่าวหญิงแซ่จูอยู่ที่ไหน?”ใบหน้าหลินชูเจิ้งบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม หลังนางเอ่ยปร
บ่าวหญิงแซ่จูไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ “พวกเราแค่ไปเรียกคุณหนูต่างสกุลมารับประทานอาหารเช้า แต่พวกเราทำงานหนักจนเคยชิน ก็เผลอทำเกินกว่าเหตุไปหน่อย คุณหนูต่างสกุลถึงได้เข้าใจผิด“คุณหนูต่างสกุลนั่นแหละ ไม่พูดไม่จาก็คว้าไม้มาทุบตีพวกเราแล้ว ท่านทำเกินไปหน่อยกระมัง!“ถึงพวกเราจะเป็นแค่บ่าวต่ำต้อย แต่ก็ยังเป็นคนอยู่ดี ท่านรังแกพวกเราอย่างนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!”หลินชูเจิ้งเอ่ยเสียงต่ำ “ชูอิ่ง เจ้าเองก็ทำเกินกว่าเหตุไปมากนะ ข้าจำเป็นจะต้องลงโทษเจ้าด้วย!“มิฉะนั้นหลังจากเจ้ากลายเป็นพระชายาอ๋องฉู่แล้ว จะเผลอเอานิสัยเยี่ยงนี้ไปใช้ที่จวนอ๋องด้วย ท่านอ๋องจะกล่าวโทษพวกเราว่าไม่รู้จักสั่งสอนเจ้าได้!”เฟิ่งชูอิ่งเชิดหน้ามองเขา แววตาของนางฉายแววเหยียดหยามอยู่หลายส่วนซึ่งแววตาเหยียดหยามพวกนั้นหลินชูเจิ้งเห็นแล้วรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวยิ่งนัก จึงกล่าวว่า “งั้นลงโทษให้เจ้า......จ่ายสิบตำลึงเงินเป็นค่ารักษาพวกเขาก็แล้วกัน”ตอนแรกเขาตั้งใจจะกักตัวนางไว้ในห้อง แต่พอคิดๆ ดูอีกที หากกักตัวนางเอาไว้ในจวนสกุลหลิน วันหน้าก็คงจะลงมือกับนางได้ไม่ถนัดหากนางตายในจวนสกุลหลิน ชื่อเสียงในราชสำนักของเขาก็จะพลอยย่ำ
ก่อนหน้านี้บ่าวในจวนสกุลหลินเห็นนางต่างก็อยากจะเข้าไปซ้ำเติม คิดหาวิธีมารังแกนางสารพัดบัดนี้แม้พวกบ่าวในจวนจะไม่ถึงขั้นเจอหน้านางก็เดินหลบไปอีกทาง แต่ก็พอจะทราบว่านางเป็นบ้าไปแล้ว ไม่ได้รังแกกันง่ายๆ เหมือนในอดีตถึงนางจะเป็นแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่ง แต่การเอามีดไล่ฟันทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจเช่นนี้ก็ยังน่ากลัวอยู่ดีด้วยเหตุนี้เอง ชีวิตหลังจากนั้นของเฟิ่งชูอิ่งจึงค่อนข้างจะสงบสุขแต่ก็แค่ ‘ค่อนข้าง’ สงบสุขนะ เพราะช่วงสองสามวันมานี้นางยุ่งพอสมควรเลยไม่กี่วันก่อนนางลองเดินสำรวจรอบๆ จวนสกุลหลิน และพบความจริงบางอย่าง จวนสกุลหลินถูกจัดวางตำแหน่งเป็นค่ายกลฮวงจุ้ยขนาดใหญ่ซึ่งค่ายกลดังกล่าวขับเคลื่อนโดยมีนางเป็นฐานเรียกง่ายๆ ว่าทุกวันนี้จวนสกุลหลินเจริญก้าวหน้าได้ ก็เพราะว่ามีนางอยู่นางมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นเสาหลักของจวนสกุลหลิน คอยต้านเภทภัยทั้งหลายให้จวนสกุลหลินหากนางตาย ก็จะกลายเป็นของบำรุงโชคชะตาของจวนสกุลหลิน หล่อเลี้ยงคนทั้งหมดที่อยู่ในจวนค่ายกลแบบนี้ไม่สามารถใช้คำว่าไร้คุณธรรมมาอธิบายได้หรอก นี่มันเป็นการกระทำที่ชั่วช้าสามานย์ ต่ำทรามไม่เหลือความเป็นคน!ค่ายกลชนิดนี้ไม่สามารถ
เฟิ่งชูอิ่งตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เสียงกรี๊ดที่กำลังจะหลุดจากปากถูกนางฝืนกล้ำกลืนลงไปในลำคอนางหันหน้าไปมองจึงพบกับใบหน้าที่หล่อจนบรรยายไม่ถูกของจิ่งโม่เยี่ยสีหน้าของเขาในยามนี้ดูสุขุมเป็นอย่างมาก ท่วงท่าก็ดูสง่างามอย่าบอกใคร ราวกับว่าสิ่งที่เขากำลังประคองอยู่ไม่ใช่ก้นของนาง แต่เป็นผลงานศิลปะชิ้นเอกอะไรทำนองนั้นเขาเห็นนางมองมา จึงเอ่ยถามด้วยเสียงเฉยชาว่า “อยากให้ช่วยไหม?”เฟิ่งชูอิ่งตอบแบบไม่ทันคิด “ไม่ต้อง!”คิ้วเรียวของจิ่งโม่เยี่ยเลิกขึ้นเบาๆ พร้อมกับเสียง ‘อ้อ’ แล้วปล่อยมือทันที ครู่ต่อมาร่างของเฟิ่งชูอิ่งก็ตกลงไปกระแทกพื้นใกล้ๆ กับภูเขาจำลองแม้รอบๆ ภูเขาจำลองจะเป็นพื้นหญ้าทั้งหมด แต่ตกจากที่สูงขนาดนั้นอย่างไรก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกเหมือนก้นแหลกเหลว อวัยวะภายในได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักนางรู้สึกเหมือนร่างกายจะแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ!”นางใช้หินแถวนั้นเป็นที่ค้ำยั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอามือนวดก้นที่ชาไปทั้งแถบของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะค่อนขอดว่า “ท่านอ๋อง ข้าแค่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ไม่ได้บอกให้ท่านโยนข้าลงมาจากข้างบนนั้น!”จิ่งโม่เยี่ยมอ
ตอนที่ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้เขา เขาไม่เคยคิดจะสนใจนางเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเขารู้ดีว่าการพระราชทานสมรสมันเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา อีกไม่นานนางก็คงถูกฆ่าตายเขาจึงไม่อยากเสียเวลาไปใส่ใจคนที่อีกไม่นานก็จะต้องตายอย่างนางตอนที่เจอกันในอาราม นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบนาง และนางแตกต่างจากที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิงตอนนั้นเขาไม่ได้ชักกระบี่ออกมาตัดศีรษะนางทันที เพราะอยากรู้ว่านางจะพูดกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองอย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่านางจะแก้ตัวได้ฟังขึ้นไม่มีหลุดพิรุธ แล้วยังแต่งเรื่องที่เคยบังเอิญเจอเขาตอนสิบขวบขึ้นมาอีก ครั้งก่อนเขามาที่จวนสกุลหลินด้วยความบังเอิญ เพราะตอนกลางคืนเขานอนไม่หลับจึงอารมณ์หงุดหงิดอย่างมาก ตอนที่เดินผ่านจวนสกุลหลินได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงแวะเข้าไปดูเรื่องสนุกหลังจากนั้นเขาก็นั่งชมเรื่องสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักว่าภรรยาในอนาคตของเขาดูแตกต่างจากปกติหลังจากเขาเอาเชือกไปให้เจ้าอาวาสยืนยันว่านางมีโอกาสเป็นคนสำนักลี้ลับ ก็สั่งให้คนไปสืบประวัตินางแบบละเอียดยิบทว่าข้อมูลที่สืบออกมาได้กลับทำเขาประหลาดใจมาก เ
จิ่งโม่เยี่ยก้มมองแขนเสื้อที่ถูกนางจับแวบหนึ่ง ก่อนจะเห็นนางส่งยิ้มหวานให้แล้วเขย่าแขนเสื้อเบาๆ ราวกับนางกำลัง......อ้อนเขา?เขาค่อนข้างแปลกใจเลยล่ะ เพราะบนโลกใบนี้มีไม่กี่คนหรอกที่กล้าออดอ้อนเขาอย่างนี้?เขาปล่อยมือที่บีบคางนางแล้วกล่าว “สารภาพมาให้หมดเปลือกเดี๋ยวนี้ว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่“หากพูดความจริง ข้าจะยอมไว้ชีวิตเจ้า แต่หากกล้าโกหกแม้แต่คำเดียว ข้าจะบิดคอของเจ้าออกมา”เฟิ่งชูอิ่งย่อมไม่คิดจะบอกความจริงให้เขาทราบอยู่แล้ว เพราะถ้าบอกความจริงออกไป นางจะอธิบายเรื่องที่รู้วิชาลัทธิเต๋าได้อย่างไรละสมองของนางประมวลผลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแต่งเรื่องขึ้นมาว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเซ่นไหว้วิญญาณของมารดาข้าแล้ว แล้วบ้านเดิมของข้าก็มีประเพณีขึ้นที่สูง“บอกว่ายิ่งยืนอยู่สูงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใกล้ชิดกับผู้ที่ล่วงลับไปมากเท่านั้น ข้าคิดถึงท่านแม่มาก ก็เลยอยากจะใกล้ชิดกับนางสักหน่อย“ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดในจวนสกุลหลิน เพียงแต่ท่านอ๋องก็ทราบว่าคนในจวนสกุลหลินไม่ได้ดีต่อข้านัก“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกกับพวกเขาแล้วว่าอยากทำพิธีขึ้นที่สูง แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้ทำ ข้าอับจนหนทา
ค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าเฟิ่งชูอิ่งชัดเจนเลยว่าเป็นพิธีกรรมสาปแช่งอย่างหนึ่ง อักขระพวกนั้นยังดูชั่วร้ายมากด้วยแม้ค่ายกลนี้จะไม่เหมือนกับคำสาปที่เขาโดน แต่ก็มีความคล้ายคลึงอยู่ไม่น้อยอารมณ์นึกสนุกในคราแรกพลันสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาสามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่งแล้ว นั่นคือนางเชี่ยวชาญคาถาอาคมของสำนักลี้ลับเจ้าเด็กเลี้ยงแกะ!เฟิ่งชูอิ่งในยามนี้ไม่มีเวลาไปสนใจจิ่งโม่เยี่ย ขั้นตอนสลับของที่อยู่ตรงแกนกลางของค่ายกลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่อาจประมาทพลาดพลั้งได้นางไม่ได้พกเครื่องมือประกอบพิธีกรรมติดไม้ติดมือมาด้วย จึงต้องอาศัยประสบการณ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอยู่ไม่น้อยแล้วก็เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ ตอนที่นางหยิบกุญแจเงินออกมาก็มีวิญญาณร้ายตนหนึ่งผุดออกมาจากในกุญแจ พุ่งตรงเข้ามาหานางด้วยจิตอาฆาตพยาบาทนางเตรียมตัวรับมือไว้ล่วงหน้า จึงใช้มือข้างหนึ่งสร้างเคล็ดวิชาดาบสุวรรณฟันใส่วิญญาณร้ายตัวนั้นนางฟันลงไปเพียงครั้งเดียว วิญญาณร้ายตนนั้นก็ขาดเป็นสองท่อน!ก่อนจะสลายเป็นฝุ่นควัน วิญญาณร้ายตนนั้นได้ถลึงตามองนาง สีหน้าประหลาดใจคล้ายไม่อยากจะเชื่อขณะที่นางมองก
เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!”นางอยากจะตบเขาสักฉาดใหญ่ๆ จากนั้นก็ด่าว่า ‘ไปตายซะ ไอ้หื่นกาม!’นางหันขวับไปมองหน้าเขาอย่างลืมตัว เขาที่ยืนด้วยท่าทางเกียจคร้านภายใต้แสงจันทร์ ช่างดูสูงส่งราวกับเทพเซียนตกสวรรค์ สุภาพอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูกนางแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าถ้อยคำเหมือนพวกอันธพาลหื่นกามเช่นนั้น จะหลุดออกมาจากปากของเขาได้นางสูดหายใจลึกๆ แล้วถาม “ท่านอ๋องหมายถึงนอนที่เป็นคำนามหรือคำกริยาเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยงุนงง “อะไรคือคำนาม? อะไรคือคำกริยา?”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางพลันนึกขึ้นได้ ในยุคสมัยนี้เหมือนจะยังไม่มีการแบ่งประเภทของคำนางจึงกระแอมไอแล้วตอบว่า “นอนแบบสงบนิ่งคือคำนาม นอนแบบที่ต้องทำเรื่องบางอย่างก่อนคือคำกริยาเพคะ”จิ่งโม่เยี่ยใช้นัยน์ตาดอกท้อสีดำสนิทจ้องมองนาง ทั้งที่เป็นการมองแบบราบเรียบแท้ๆ แต่นางกลับรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งใจจิ่งโม่เยี่ยทำมือคล้ายมีดแล้วสับอากาศ ใช้หางตาเหลือบมองนางแล้วกล่าวว่า “ตอนแรกข้าหมายถึงคำนาม แต่หากเจ้ายังพูดพร่ำไม่เลิก อาจจะกลายเป็นคำกริยาได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”เอาเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่คำกริยาในแบบที่นางคิดไว้นางรีบตอบ “เชิญท่านอ๋องเพคะ!”จิ่ง