Share

บทที่ 13

ก่อนจะมาหานาง บ่าวหญิงแซ่จูคนนี้ก็นับว่าได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีเลยล่ะ

พวกเขาตั้งใจจะใช้ผงปูนขาวทำลายดวงตาของนางก่อน จากนั้นก็จะรุมทุบตีนางอย่างโหดเหี้ยม แล้วค่อยขโมยทรัพย์สินเงินทองของนางไป

บ่าวหญิงแซ่จูคงคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชูอิ่งจะมีแผนรับมือรอเอาไว้แล้ว นอกจากพวกเขาจะขโมยของไม่สำเร็จ ยังเป็นฝ่ายถูกนางทุบตีอย่างหนักแทน

ลูกชายคนโตของนางถูกฮว๋าซื่อสั่งให้บุกเข้ามาขโมยเงินที่ห้องของเฟิ่งชูอิ่งกลางดึกเมื่อคืน ทว่านอกจากจะไม่ได้เงินไปแล้ว ยังถูกผลปูนขาวเล่นงานจนตาบอดอีก

ทว่าเฟิ่งชูอิ่งกลับไปฟ้องหลินชูเจิ้งว่าลูกชายคนโตของนางขโมยตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงไป เมื่อคืนหลินชูเจิ้งก็เลยจับตัวลูกชายคนโตของนางไปเพื่อบีบคั้นให้เขาส่งมอบตั๋วเงินออกมา

ลูกชายคนโตของนางไม่ได้ขโมยตั๋วเงินไปตั้งแต่แรกแล้ว จึงถูกหลินชูเจิ้งลากตัวเข้าห้องทรมาน ตอนที่ส่งตัวกลับออกมาเนื้อตัวเขาก็มีแผลเหวอะหวะเต็มไปหมดแล้ว

นางจึงเกลียดเฟิงชูอิ่งเข้ากระดูกดำ!

นางกัดฟันเอ่ยว่า “พวกเราสาดผงปูนขาวเพราะว่าห้องนี้อับชื้นมากเกินไป ก็เลยมาช่วยคุณหนูต่างสกุลกำจัดความชื้น”

เฟิ่งชูอิ่งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา ก่อนจะยกไม้กระบองเคาะข้อพับขาของบ่าวหญิงแซ่จู บ่าวหญิงแซ่จูเจ็บจนร้องเสียงแหลมก่อนจะล้มไปกองกับพื้น “คุณหนูต่างสกุล ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?”

เฟิ่งชูอิ่งไม่สนใจนาง หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องไปหยิบห่อผงปูนขาว แล้วเขวี้ยงใส่ศีรษะของบ่าวหญิงแซ่จูอย่างแม่นยำ

นางเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าคิดว่าเจ้าก็เหม็นอับอยู่เหมือนกัน ดังนั้นข้าจะช่วยเจ้าลดความชื้นเอง”

เหตุผลกับข้ออ้างแบบนี้มันฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด!

เมื่อก่อนพวกบ่าวรับใช้ในจวนสกุลหลินจะเคยรังแกร่างเดิมอย่างไรบ้าง นางก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่อย่าหวังว่าจะมารังแกนางในตอนนี้ได้!

เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความแตกตื่นวุ่นวายไปทั่ว ข้ารับใช้จำนวนมากในจวนสกุลหลินพากันมาสอดส่องเพราะได้ยินข่าว

ตอนที่พวกเขามาถึงก็ได้เห็นฉากที่เฟิ่งชูอิ่งใช้ไม้กระบองฟาดบ่าวหญิงแซ่จูพอดี ทำเอาพวกเขาตกใจจนแทบผงะ

เพราะในสายตาของพวกเขา เฟิ่งชูอิ่งเป็นคนหัวอ่อนว่าง่าย ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็อ่อนแอปวกเปียกไปหมด ต่อให้ถูกพวกเขากลั่นแกล้งรังแก นางก็ไม่ปริปากบ่นเลยสักครั้ง

ทว่าวันนี้นางกลับตีคนอย่างโจ่งแจ้ง!

ตอนพวกเขาได้ยินข่าวลือว่าเมื่อวานนางใช้มีดทำร้ายคนในห้องโถงหลัก ยังแอบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่เลย ทว่าบัดนี้พวกเขาเชื่อสนิทใจแล้วว่านางกล้าใช้มีดทำร้ายคนจริงๆ!

เฟิ่งชูอิ่งที่คิดจะใช้บ่าวหญิงแซ่จูแสดงอำนาจของตัวเอง เมื่อเห็นว่ารอบด้านมีบ่าวมามุงดูกันมากมาย จึงกล่าวเสียงดังฟังชัด “เรื่องที่ผ่านไปแล้วข้าจะไม่ติดใจเอาความกับพวกเจ้า

“ตอนนี้ข้าหมั้นหมายกับท่านอ๋องฉู่แล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนานแค่ไหน

“ไหนๆ ข้าก็จะต้องตายอยู่แล้ว หลังจากนี้ไปใครหน้าไหนที่คิดจะทำร้ายข้า ข้าจะเอาคืนคนผู้นั้นให้สาสมเลยจำเอาไว้!

“ชีวิตข้าก็ไม่ได้มีค่าอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นก่อนตายจะลากพวกเจ้าลงโคลนตมไปพร้อมกัน ตอนอยู่ในนรกจะได้ไม่เงียบเหงา!”

นางกล่าวจบก็ยกไม้กระบองเปื้อนเลือดขึ้นมาแล้วกวาดตามองข้ารับใช้ที่อยู่บริเวณนั้น ถามว่า “พวกเจ้ามีธุระอะไรกับข้าล่ะ?”

เพราะเพิ่งจะลงมือทุบตีคนไป แววตาของนางจึงยังหลงเหลือประกายโหดเหี้ยมอยู่

บ่าวหญิงแซ่จูและลูกชายคนรองลงไปนอนโอดครวญอยู่บนพื้น แตกต่างจากนางที่มีบรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ทั่วร่างอย่างชัดเจน

บ่าวในจวนพวกนี้แม้ยามปกติจะถือหางเจ้านาย เหยียบย่ำรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงคนธรรมดา ยามต้องเผชิญหน้ากับอำนาจบารมีที่นางแผ่ออกมา พวกเขาก็พากันหวาดกลัวความผิด หนีกระเจิงกันไปหมด

พ่อบ้านโจว ผู้ดูแลความเรียบร้อยของจวนสกุลหลินเดินผ่านมา เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ขมวดคิ้วหน้านิ่ว เอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “คุณหนูต่างสกุลจะไม่ลงมือหนักเกินไปหน่อยหรือ?”

“พวกเขาล้วนเป็นบ่าวของจวนสกุลหลิน เหมือนว่าคุณหนูต่างสกุลจะไม่มีอำนาจลงโทษกระมัง”

เฟิ่งชูอิ่งยกไม้กระบองขึ้นมาเคาะกับฝ่ามืออีกข้างของตัวเองเบาๆ

เฟิ่งชูอิ่งเชิดหน้ามองพ่อบ้านโจว ก่อนจะเห็นว่าด้านหลังของเขามีวิญญาณร้ายเกาะอยู่ตนหนึ่ง ขนคิ้วด้านซ้ายมีรอยบากตรงกลาง

แม้เขาจะพยายามเสแสร้งแสดงท่าทีอบอุ่นอ่อนโยน แต่ก็ปกปิดความอำมหิตและเลือดเย็นของเขาได้ไม่มิด

คนประเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะเห็นแก่ตัวมาก

นางยิ้มบางๆ ไม่ตอบแล้วยังถามกลับด้วยว่า “พ่อบ้านโจว เจ้าเชื่อเรื่องดวงหรือไม่?”

Kaugnay na kabanata

Pinakabagong kabanata

DMCA.com Protection Status