Share

บทที่ 12

เจ้าอาวาสรู้จักกับจิ่งโม่เยี่ยมานานหลายปี จึงเข้าใจนิสัยของเขาเป็นอย่างดี เขาไม่มีทางนำเชือกป่านมาหาเขาโดยไร้ต้นสายปลายเหตุหรอก

และหากจิ่งโม่เยี่ยหาตัวคนสำนักลี้ลับเจอ จะต้องบอกเขาอย่างแน่นอน

วันนี้จิ่งโม่เยี่ยนำเชือกมาให้เขาตรวจสอบเพื่อยืนยัน ทว่าสุดท้ายกลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย ซึ่งปกติแล้วจิ่งโม่เยี่ยจะไม่ทำเรื่องอะไรแบบนี้ นอกเสียจาก...

นอกเสียจากคนสำนักลี้ลับที่จิ่งโม่เยี่ยหาเจอจะมีค่อนข้างพิเศษ

เจ้าอาวาสนึกไม่ออกว่ามีใครพอจะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับคำว่าพิเศษนี้บ้าง ในสมองของเขามีชื่อของเฟิ่งชูอิ่งผุดขึ้นมา แต่ก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็ว

ใครบ้างไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไปขออาศัยจวนสกุลหลิน นางไม่มีทางเกี่ยวข้องกับสำนักลี้ลับได้อยู่แล้ว

เขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ถ้าอย่างนั้นคนพิเศษที่ว่านั่นเป็นใครกันล่ะ?

หลังจิ่งโม่เยี่ยเดินออกมาจากอารามแล้ว เขาก็ยืนถอนหายใจให้กับธรรมชาติอันงดงามตรงหน้า

เขาไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งไปเรียนการถักเชือกของสำนักลี้ลับมาจากที่ไหน วิธีที่นางใช้ผูกเชือกก็ไม่สามารถบอกอะไรได้เลย

แต่อย่างน้อยนางก็สามารถทำให้เขาหลับได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ตอนแรกเขาไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของนาง ไม่ว่านางจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวกับเขา อย่างไรเขาก็ไม่คิดจะแต่งงานกับนางอยู่แล้ว

เพราะว่าเขาถูกคำสาปชั่วร้าวกลืนกิน และพร้อมจะตายได้ตลอดเวลา

บัดนี้เขากลับคิดว่า นางสามารถทำให้เขานอนหลับสนิทได้ ดังนั้นชีวิตของนางจึงมีค่าสำหรับเขาอยู่บ้าง

เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “เฟิ่งชูอิ่ง มีคนอยากให้เจ้าตายมากมายนัก เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบตายเร็วเกินไปล่ะ”

ในขณะเดียวกัน เฟิ่งชูอิ่งก็จามออกมาเสียงดังลั่น ไอ้เจ้าลูกเต่าตัวไหนมันกำลังนินทานาง?

นางสูดจมูกเล็กน้อย ยกมือนวดหลังคอเบาๆ เมื่อคืนนี้จิ่งโม่เยี่ยสับหลังคอนางไปตั้งหลายครั้ง จนนางคิดว่าคอของตัวเองเกือบจะถูกเขาสับหักอยู่แล้ว

ไอ้ผู้ชายเส็งเคร็ง!

หากมีโอกาสขึ้นมา นางจะฆ่าเขาให้ตายเลย!

เสียงเซ็งแซ่ดังออกมาจากนอกประตู ก่อนจะมีคนเคาะประตูห้องนาง “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงดังกล่าว มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ นางเดินวนรอบห้องจนกระทั่งได้ไม้ท่อนหนึ่งมาถือไว้ในมือ จึงได้ผลักประตูออกไปอย่างกะทันหัน

เมื่อประตูเปิดออกนางก็หลบข้างหลังบานประตูทันที ก่อนจะมีผงปูนขาวหนึ่งกำมือลอยเข้ามาทางนาง ทว่านางเบี่ยงหลบได้อย่างงดงาม

เฟิ่งชูอิ่งยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้า ยกไม้กระบองในมือขึ้นแล้วฟาดใส่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู

เสียงร้องเหมือนหมูโดนเชือดพลันดังก้องไปทั่วเรือนที่พักของนาง

เฟิ่งชูอิ่งตะโกนแข่งกับอีกฝ่าย “ช่วยด้วย มีคนบุกเข้ามาปล้นของในจวนอีกแล้ว!”

นางป่าวร้องไปด้วย ใช้ไม้กระบองทุบตีคนที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย

นางเป็นคนลัทธิเต๋า นอกจากจะมีฝีมือด้านวิชาเต๋าแล้ว นางยังรู้จักจุดลมปราณในร่างกายคนเป็นอย่างดี

นางคล้ายจะใช้ไม้กระบองทุบตีคนแบบมั่วๆ แต่อันที่จริงแล้วนางเล็งจุดลมปราณของฝ่ายตรงข้ามตลอด ทุบเพียงไม่กี่ที คนก็ลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้ว

จากนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านข้าง “หยุดนะ!”

ใครมันจะไปยอมหยุดให้โง่ล่ะ!

เฟิ่งชูอิ่งยกไม้กระบองในมือขึ้นสูง ก่อนจะฟาดใส่ศีรษะของผู้มาใหม่ที่พุ่งเข้ามาหาตนเอง ทำเอาคนผู้นั้นเลือดอาบศีรษะในพริบตา

คนผู้นั้นพลันร้อนรน “คุณหนูต่างสกุล หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ข้าไม่ใช่คนร้าย ข้าคือบ่าวหญิงแซ่จูจากโรงครัวเจ้าค่ะ!”

เฟิ่งชูอิ่งลดแขนเสื้อตัวเองลง มองปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่าคนหนึ่งคือบ่าวหญิงแซ่จูจากโรงครัว อีกคนคือลูกชายคนรองของนางจู

นางกระจ่างแจ้งในทันที โจรที่บุกเข้ามาขโมยของในห้องของนางเมื่อคืน เกรงว่าจะเป็นบุตรชายคนโตของนางจูถึงแปดส่วน

นัยน์ตาเฟิ่งชูอิ่งทอแสงวาวโรจน์ ถามว่า “บ่าวหญิงแซ่จู? พวกเจ้ามาก่อความวุ่นวายอะไรที่เรือนข้าตั้งแต่เช้า?”

แววตาของบ่าวหญิงแซ่จูในยามนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เอ่ยเสียงเย็นชา “พวกเราแค่มาเชิญคุณหนูต่างสกุลไปรับประทานอาหารที่โรงครัว เหตุใดต้องลงมือทำร้ายกันเช่นนี้ด้วย?”

เฟิ่งชูอิ่งแสยะยิ้ม “เชิญข้าไปรับประทานอาหารประสาอะไร พวกเจ้าถึงได้สาดผงปูนขาวใส่ข้าตั้งแต่ยังไม่ทันจะเปิดประตู พวกเจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่อย่างนั้นหรือ?”

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status