Share

บทที่ 11

จิ่งโม่เยี่ย “......”

จิ่งโม่เยี่ย “!!!!”

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฟิ่งชูอิ่งจะกล้าทำจริง!

นางไม่เหมือนกับที่คนเขาลือกันเลยสักนิด

เขายกมือขึ้น ใช้สันมือสับหลังคอนางดังพลั่ก

ก่อนนางจะหมดสติได้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง

นางสบถด่าหยาบคายในใจชุดใหญ่ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะดับวูบ สลบไสลของจริงแบบไม่ได้เสแสร้ง ล้มฟุบพิงแผงอกของจิ่งโม่เยี่ย

คิ้วของเขาขมวดชนกันเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะรับมือสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร

เขาผลักร่างของนางออกจากตัวด้วยท่าทางแอบรังเกียจ ทว่ายามที่มือสัมผัสโดนตัวนาง กลับรู้สึกนุ่มนวลและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

จิ่งโม่เยี่ยก้มมองนางแวบหนึ่ง คิ้วตาของเด็กสาวภายใต้แสงเทียนสลัวให้ความรู้สึกอ่อนหวานน่าทะนุถนอม ไม่เหมือนกับท่าทางดื้อรั้นแสนซนเมื่อครู่นี้เลย

เขาแค่นเสียง ‘ฮึ’ เบาๆ ก่อนจะผลักนางออกห่างด้วยท่าทางรังเกียจ

เขาลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไป กลับพบว่าความบ้าคลั่งที่อาละวาดอยู่ภายในศีรษะของเขามาเนิ่นนานเบาบางลงไปมาก ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว

เขายกมือกุมหัวใจตัวเอง ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวที่หลับสนิท แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง

เขานั่งอยู่อย่างนั้นราวๆ ครึ่งเค่อ[footnoteRef:1] อาการคุ้มคลั่งนอกจากจะไม่กำเริบขึ้นมาแล้ว เขายังรู้สึกอยากนอนอยู่หลายส่วนด้วย [1: 刻 1เค่อเท่ากับประมาณ15นาที]

ความรู้สึกแบบนั้นทำเขาประหลาดใจมาก ตั้งแต่ถูกคนวางแผนร้ายใส่เป็นต้นมา ไม่ว่าเขาจะง่วงมากสักแค่ไหน ก็ไม่เคยนอนหลับได้เลยสักครั้ง

ถึงจะหลับได้ แต่เพียงครึ่งเค่อเขาก็จะตื่นขึ้นมาแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกเลย ที่ร่างกายของเขามีความรู้สึกง่วงงุนจนอยากจะนอนหลับ

เขาใช้มือพลิกตัวของเฟิ่งชูอิ่งจนกลิ้งไปอยู่ริมขอบเตียงอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ นาง

เพียงแค่เขาล้มตัวลงนานได้ไม่ทันไร ก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เฟิ่งชูอิ่งที่โดนเขาตีจนสลบ หลับไปเพียงไม่นานก็ตื่นขึ้นมา

เมื่อนางลืมตาก็มองเห็นเสี้ยวหน้าที่หล่อเหลาอย่างใกล้ชิด เล่นเอานางตกใจจนสะดุ้งเฮือก

นางคิดจะลุกนั่งโดยสัญชาตญาณ ทว่านางยังไม่ทันจะได้ยกตัวขึ้นมา ก็ถูกแขนยาวของจิ่งโม่เยี่ยตวัดคร่อม แล้วดึงตัวนางเข้าไปกอดแนบอก

เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!”

นางไม่เข้าใจจุดประสงค์ของเขาเลยสักนิด จึงเอ่ยเรียกเบาๆ “ท่านอ๋อง...”

“หุบปาก” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดุร้าย “หากยังพูดมากข้าจะบีบคอเจ้า”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

นางเพิ่งเคยพบเจอคนที่อาศัยนอนเตียงของผู้อื่น แล้วยังกล้าดุเจ้าของเตียงเช่นนี้อีก

นางไม่คุ้นชินการนอนร่วมกันคนอื่น จึงคิดจะขยับตัวเปลี่ยนท่า ทว่านางขยับแค่นิดเดียวก็ถูกเขาพลิกกลับไปแล้ว

เสียงของจิ่งโม่เยี่ยลอยมาอีกครั้ง “หลับซะ!”

เฟิ่งชูอิ่งคิดว่าเขาน่าจะป่วย แถมยังป่วยหนักมากเสียด้วย!

ไม่รู้ว่าเทียนในห้องถูกดับไปตั้งแต่ตอนไหน ยามนี้จึงมีเพียงแสงจันทร์นวลอ่อนที่ส่องทะลุหน้าต่างเข้ามา

แสงจันทร์เบาบางมาก นางจึงมองเป็นเพียงเค้าโครงใบหน้าของเขา

ท่าทางตอนเขานอนหลับตาดูอ่อนโยนเหมือนสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ไม่เหลือคราบของบุรุษที่สั่งให้คนเฉือนร่างเฉินเยี่ยนเซิงเป็นชิ้นๆ ในยามกลางวันเลย

คนผู้นี้ยามลืมตาจะเป็นมารร้าย ยามหลับตาจะเป็นพระพุทธองค์สินะ

นางไม่ชินเวลามีคนนอนกอด จึงดิ้นยุกยิกไปมาเพราะอยากเปลี่ยนท่า ทว่าครู่ต่อมา นางก็ถูกจิ่งโม่เยี่ยสับหลังคอจนสลบไปอีกครั้ง

ก่อนนางจะหมดสติไป ได้เอ่ยทักทายบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเขาในใจ

นางสลบไปไม่นานนักก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้นางทำตัวฉลาดเฉลียว ไม่ดิ้นรนขัดขืนแม้แต่น้อย เพียงหลับตาอยู่ภายในอ้อมกอดของเขานิ่งๆ

แม้นางจะไม่ชินกับการนอนกอดคนอื่น แต่หากนางต้องเลือกระหว่างนอนกอดเขากับถูกเขาตีสลบ นางเลือกอย่างแรกแน่นอนอยู่แล้ว

นางกลัวว่าหากถูกเขาตีอีกสักสองสามครั้ง คอของนางจะหักคามือของเขาน่ะสิ

อีกอย่าง ถึงจิ่งโม่เยี่ยจะเป็นจอมวายร้ายในนิยาย แต่เขาก็หน้าตาดีจะตายไป!

นอนกับเขา นางไม่ขาดทุนหรอก!

นางตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามา จิ่งโม่เยี่ยก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว เชือกป่านที่นางผูกเป็นบ่วงไว้เมื่อคืนก็หายไปแล้วเหมือนกัน

นางขยับตัวนิดเดียวก็แทบจะร้องโอดโอย

เพราะเมื่อคืนท่านอนของนางมันผิดแปลกจากปกติ ตอนที่ตื่นขึ้นมาถึงได้ปวดเอวเมื่อยหลังไปหมด

เฟิ่งชูอิ่งแอบด่าต้นตระกูลจิ่งโม่เยี่ยแบบสาดเสียเทเสียในใจ หงายหลังลงไปนอนเหมือนเดิมอย่างยอมรับชะตากรรม บิดข้อมือขยับข้อเท้าสักพัก แล้วค่อยลุกขึ้นยืนอีกครั้งอย่างเชื่องช้า

ขณะที่เฟิ่งชูอิ่งตื่นมาด้วยความหดหู่ห่อเหี่ยว จิ่งโม่เยี่ยกลับตรงกันข้าม

นานมากแล้วที่เขาไม่ได้หลับสบายแบบนี้ หลังจากตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกว่าจิตใจแจ่มใสเป็นอย่างมาก

เขาไม่ได้กลับจวนอ๋องและมุ่งหน้าไปที่อาราม เจ้าอาวาสเห็นเขาเดินเข้ามาก็ยิ้มทักจนตาหยี “ท่านอ๋องวันนี้ดูสดใสเป็นพิเศษนะ”

จิ่งโม่เยี่ยตอบเสียงเรียบ “เมื่อคืนข้านอนหลับไปสามชั่วยาม[footnoteRef:2]” [2: การนับเวลาแบบจีน 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง]

สามชั่วยามสำหรับคนทั่วไปถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่สำหรับเขามันกลับเป็นช่วงเวลาที่มีค่าอย่างมาก

เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าตัวเองจะนานหลับได้ยันฟ้าสาง

เจ้าอาวาสเอ่ยด้วยความยินดีปรีดา “ท่านอ๋องหลับได้อย่างไรกัน?”

จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามนั้น เขายื่นเชือกป่านที่เอามาจากห้องของเฟิ่งชูอิ่งให้เจ้าอาวาส “เจ้าลองดูสิ การถักเชือกแบบนี้ใช่ฝีมือของสำนักลี้ลับไหม?”

เจ้าอาวาสรับเชือกมาตรวจดูอย่างละเอียด “ดูแล้วก็คล้ายกับวิธีการมัดของสำนักลี้ลับอยู่เหมือนกัน แต่ข้าไม่อาจยืนยันแน่ชัดได้”

“เพราะว่าก่อนที่สำนักลี้ลับจะถูกล้มล้าง พวกเขาก็ทำตัวลี้ลับมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ข้าวของที่เล็ดรอดออกมาด้านนอกก็มีน้อยมาก”

“โอ๊ย นี่มันอะไรกันเนี่ย...”

ตอนที่เขาแตะโดนตำแหน่งสำคัญของเชือก เชือกที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรก็ดีดฟาดหน้าของเขาอย่างรุนแรง จนข้างแก้มของเขาเป็นรอยแดงเถือก

เขาทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “ข้ามั่นใจแล้ว เจ้าของสิ่งนี้จะต้องเป็นของสำนักลี้ลับแน่นอน!”

“มีแค่พวกสำนักลี้ลับที่ไร้คุณธรรมพวกนั้นแหละ ที่จะสร้างของขาดคุณธรรมเช่นนี้ออกมาได้!”

จิ่งโม่เยี่ยมองเจ้าอาวาสที่เดือดดาลจนกระทืบเท้าเร่าๆ ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย

เจ้าอาวาสเอ่ยถาม “เจ้าได้ของชิ้นนี้มาจากไหนหรือ?”

จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของเขาเหมือนเดิม เพียงเอ่ยว่า “เรื่องนี้น่าสนใจมิเบาเลย”

เจ้าอาวาสงุนงง “เรื่องอะไรน่าสนใจหรือ?”

จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบแต่ถามกลับ “หากข้ายังนอนหลับสนิทแบบนี้ไปเรื่อยๆ คำสาปจะส่งผลต่อข้าลดลงบ้างหรือไม่?”

เจ้าอาวาสพยักหน้า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยหลังจากท่านได้พักผ่อนนอนหลับอย่างเต็มที่ ก็จะรู้สึกสบายตัวและผ่อนคลายมากขึ้น

“พอร่างกายผ่อนคลาย ไม่หงุดหงิดอารมณ์ร้าย สมองก็จะปลอดโปร่งขึ้นด้วย

“ต่อให้โชคชะตาของท่านจะถูกสูบออกไปจนหมด ด้วยสมองของท่านก็น่าจะพอดึงกลับมาได้บ้าง โอกาสที่ตายโหงก็ลดน้อยลงมาก”

จิ่งโม่เยี่ยเอียงตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป

เจ้าอาวาสเอ่ยถาม “เมื่อคืนเจ้านอนหลับได้อย่างไรกันแน่?”

จิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขา ก้าวขาเดินตรงไปด้านหน้า เจ้าอาวาสคิดว่าเขาคงไม่ยอมตอบคำถามของตนแล้ว กลับได้ยินเสียงของเขาลอยมาสองคำ “เดาสิ”

เจ้าอาวาสได้ยินเช่นนั้นก็เท้ากระตุกแทบอยากจะลุกกระโดดถีบอีกฝ่าย แต่ก่อนที่เขาจะยกเท้าพ้นจากพื้นก็สูดหายใจลึกๆ กล่าวกับตัวเองว่า “ข้าเป็นภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ข้าต้องรักษากิริยาอันสูงส่งเอาไว้ ต้องไม่คิดเล็กคิดน้อยติดใจเอาความ”

เขาท่องประโยคเดิมวนไปวนมาอยู่เป็นสิบครั้ง ถึงสงบสติอารมณ์ลงได้เล็กน้อย

เขานับลูกประคำในมือแล้วท่องต่ออีกหลายรอบ จิตใจถึงกลับมาสงบได้ดั่งเดิม

พระภิกษุที่เดินผ่านเขาไป เห็นว่าเขานับลูกประคำขณะที่ปากก็พึมพำอะไรสักอย่าง จึงพากันคิดไปว่าเขากำลังท่องบทสวด

ทำให้พวกเขารู้สึกเลื่อมใสศรัทธาเจ้าอาวาสอย่างมาก เจ้าอาวาสก็คือเจ้าอาวาส แม้แต่ตอนเดินก็ยังท่องบทสวดมนต์ ช่างเข้าถึงพระธรรมคำสอนได้อย่างลึกซึ้ง

พวกเขาจึงเลียนแบบการกระทำของเจ้าอาวาสบ้าง โดยการเดินไปด้วยท่องบทสวดไปด้วย

หลังจากเจ้าอาวาสสงบจิตสงบใจได้แล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่จิ่งโม่เยี่ยมาหาเขาวันนี้ดูมีพิรุธอย่างมาก...

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status