Share

บทที่ 10

บุรุษผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจิ่งโม่เยี่ย

เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงสั่น “ท่าน...ท่านอ๋อง?”

จิ่งโม่เยี่ยมองสำรวจนางเงียบๆ ก่อนจะโยนบ่วงเชือกป่านลงตรงหน้านาง “ใครเป็นคนทำ?”

เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางแบบนั้น ก็รู้ทันทีว่าเขาปีนเข้ามาทางหน้าต่าง

ปมเชือกที่อยู่ตรงหน้าต่างแม้จะดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วพลังทำลายรุนแรงมาก ในสถานการณ์ปกติ หากเผลอเหยียบเข้าไป จะถูกปมเชือกพวกนั้นพันธนาการแล้วจับแขวนทันที

เชือกป่านยามนี้ถูกตัดขาด นอกจากจิ่งโม่เยี่ยจะปลอดภัยดีแล้วยังไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวเลยสักนิด แสดงให้เห็นชัดว่ากับดักเชือกที่นางตั้งใจเตรียมเอาไว้ใช้กับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ผล

นางด่าสาดเสียเทเสียในใจ คนที่นี่สมองมีปัญหากันหรืออย่างไร ดึกดื่นป่านนี้ไม่ยอมหลับยอมนอน คนหนึ่งปีนหน้าต่าง คนหนึ่งงัดประตู บุกรุกห้องนอนของเด็กสาวกลางดึก

แต่กลับแสดงท่าทางว่านอนสอนง่าย “ข้ากลัวว่าพวกท่านลุงจะทำร้าย ข้าก็เลยวางปมเชือกพวกนี้ไว้ที่หน้าต่างเพื่อป้องกันตัวเอง”

“หากข้าทราบว่าคืนนี้ท่านอ๋องจะมาหา ข้าคงจะไม่เอาอะไรแบบนี้ไปวางที่หน้าต่างแน่นอน”

หลังจากจิ่งโม่เยี่ยได้ฟังเช่นนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกนาง

เฟิ่งชูอิ่งไม่อยากจะเข้าไปใกล้เขาสักนิด แต่พอนึกถึงฉากที่เฉินเยี่ยนเซิงถูกแล่เนื้อเถือหนังทั้งเป็นในอาราม นางก็ฉีกยิ้มเดินเข้าไป ไม่กล้าขัดใจเขาแม้แต่นิดเดียว

จิ่งโม่เยี่ยกวักมือต่ำๆ บอกใบ้ให้นางย่อตัวลง

นางไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร จึงยอมย่อตัวลงแต่โดยดี “ท่านอ๋อง ท่านมาหาข้าดึกดื่นเช่นนี้ เพราะคิดถึงข้าใช่หรือไม่?”

จิ่งโม่เยี่ยหนังตากระตุก เหลือบมองนางแล้วกล่าว “คิดถึงเจ้า? เจ้าคู่ควรหรือ?”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

ต่อให้นางจะตอบสนองไวสักแค่ไหน ก็คงตอบโต้คำพูดของเขาไม่ได้อยู่ดี

จิ่งโม่เยี่ยกลับเป็นฝ่ายที่หมดความอดทน มือหนาของเขากดลงบนไหล่ของนาง

นางเผลอแปปเดียว ก็ถูกเขาผลักจนล้มก้นกระแทกพื้นข้างเตียง เพราะล้มแรงเกินไป อวัยวะภายในของนางก็เลยสั่นสะเทือนไปหมด

นางแหงนหน้ามองสบตาจิ่งโม่เยี่ย มองเข้าไปนัยน์ตาเย็นชา ล้ำลึกและมีจิตสังหารสาดประกายของเขา

เพราะบรรยากาศที่แผ่จากตัวเขาแกร่งกล้ามาก อีกทั้งการกระทำของเขายังก้าวร้าวอีกด้วย ร่างกายของนางจึงสั่นระริกเบาๆ

เขายื่นมือมาเชยคางของนาง จิตสังหารอันโหดเหี้ยมพลุ่งพล่านอยู่ในใจของเขา มือหนาค่อยๆ เลื่อนลงไปที่คอของนางแทน

ฝ่ามือของเขาใหญ่มาก นิ้วทั้งห้าเรียวยาว คอของนางบอบบางขาวผ่องดุจหิมะ เขาออกแรงเพียงนิดเดียวก็หักคอของนางได้อย่างง่ายดายแล้ว

ช่วงเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกเหมือนโดนสัตว์ร้ายตัวหนึ่งจ้องมอง หลั่งเหงื่อเย็นจนเปียกชุ่มแผ่นหลัง

นางยกมือจับแขนของเขาไว้ “ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไรไป?”

จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของนาง นางสังเกตเห็นประกายสีแดงพาดผ่านแววตาของเขาและเลือนหายไป

นางแอบตกใจเล็กน้อย ก่อนจะวาดยันต์สงบจิตกลางอากาศแล้วกดลงบนฝ่ามือของเขา

จิ่งโม่เยี่ยพลันรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของตนเองแจ่มใสขึ้นมาก อารมณ์ฉุนเฉียวในใจเบาบางลงอย่างรวดเร็ว

เขาเอ่ยถาม “เจ้าเป็นคนสำนักลี้ลับ?”

เฟิ่งชูอิ่งเป็นคนลัทธิเต๋า ลัทธิเต๋ากับสำนักลี้ลับค่อนข้างมีความใกล้เคียงกัน แต่ร่างเดิมไม่ใช่คนสำนักดังกล่าว

นางจึงส่ายหน้า “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่คนสำนักลี้ลับ”

จิ่งโม่เยี่ยขยับเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย “เจ้าไม่ใช่? ถ้างั้นเจ้าก็เป็นแค่ขยะ ขยะไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อ”

เขาออกแรงบีบมือที่กุมคอของนางอยู่ ทำเอานางรู้สึกขาดอากาศหายใจทันที

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ นางก็รู้แล้วว่าเขาบ้าแค่ไหน แต่นางไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเขาจะบ้าได้ขนาดนี้!

นางถูกบีบคออยู่จึงไม่อาจเปล่งเสียงออกไปได้ ต้องพยายามวาดยันต์อย่างสุดชีวิต

เมื่อวานยันต์เสร็จสมบูรณ์ จิ่งโม่เยี่ยก็รู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง มือที่บีบคอของนางจึงคลายออก ก่อนที่ตัวของเขาจะร่วงลงมาจากเตียง

เนื่องจากตอนที่เขาร่วงลงมา มือข้างที่บีบคอนางอยู่จึงตกลงมาด้านล่าง จนวางแหมะอยู่บนหน้าอกของนางพอดิบพอดี

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

จิ่งโม่เยี่ย “......”

ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นสิ่งที่พวกไม่ได้คาดคิดไว้ จึงชะงักไปทั้งคู่

เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกแสบคออย่างมากจึงไอออกมาอย่างรุนแรง

จิ่งโม่เยี่ยนอนนิ่งๆ และถามนางว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไรกับข้า?”

เขาทดลองขยับมือของตัวเองดู พบว่าสัมผัสที่ฝ่ามือของตนเองนั้นนุ่มหยุ่นแปลกๆ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน จึงแอบสงสัยใคร่รู้อยู่เล็กน้อย

เฟิ่งชูอิ่งเจ็บคอหนักมาก จึงไม่มีเวลาไปสนใจเขา เขาจึงออกแรงบีบซ้ำอีกสองที

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

พอได้ลวนลามแล้วเกิดติดใจขึ้นมางั้นหรือ?

เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!

นางคิดจะผลักตัวเขาออก แต่กลับไม่มีแรงมากพอ จึงผลักเขาออกไปไม่พ้นตัว

นางโกรธจัดจวนจะระเบิด รู้สึกว่านางจะไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้เด็ดขาด จึงเลิกพยายามผลักตัวเขา โฉบหน้าเข้าไปใกล้แล้วกัดปากอีกฝ่ายแรงๆ

จิ่งโม่เยี่ยตัวแข็งทื่อ มือไม้ที่อยู่ไม่สุขก็หยุดนิ่งทันที

ดวงตาสองคู่สบประสาน คู่หนึ่งเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ อีกคู่ฉายแววอันตราย

จิ่งโม่เยี่ยผลักนางลงพื้น “เจ้าบังอาจนักนะ!”

หลังจากเฟิ่งชูอิ่งสบตากับเขา นางก็ได้สติกลับคืนมา

นางนึกขึ้นได้ว่าตรงหน้านางคือตัวร้ายที่ยิ่งใหญ่ในนิยาย แม้แต่พระเอกของเรื่องยังถูกเขาเล่นงานจนเกือบตาย ไม่ใช่คนที่นางจะล่วงเกินได้

นางงุดหน้าลงเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างขัดเขิน “ข้าหลงรักท่านอ๋องมาเนิ่นนาน เมื่อครู่นี้จึงอดใจไม่ไหว ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วยเพคะ!”

จิ่งโม่เยี่ยพลิกตัวลงนั่งบนพื้น เอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “เจ้าลองเดาดูสิว่าข้าเชื่อคำพูดไร้สาระนั่นไหม?”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

นางรู้สึกจากขั้วหัวใจเลยว่าผู้ชายคนนี้รับมือยากเกินไปแล้ว เขาเหมือนกับคนที่ป่วยจิต เดาไม่ออกสักนิดว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

นางกัดฟันกล่าว “เมื่อครู่นี้เป็นคำพูดจากใจจริงของข้าเพคะ”

“แม้คำพูดเหล่านี้จะฟังดูใจกล้าหน้าด้าน ไม่ถูกขนบธรรมเนียม แต่ข้าเป็นว่าที่ภรรยาของท่านอ๋อง จะใจกล้าสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรกระมัง”

จิ่งโม่เยี่ยใช้สายตาจับผิดมองนาง เอ่ยเสียงเฉยชา “ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าใช่คนสำนักลี้ลับหรือไม่?”

เฟิ่งชูอิ่งกลัวว่าหากนางปฏิเสธ เขาจะเข้ามาบีบคอนางอีกรอบ เพราะหากรอบนี้เขาทำซ้ำ นางต้องตายคามือของเขาแน่นอน

นางจึงกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่คนสำนักลี้ลับ แต่ข้าสนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ จึงเคยศึกษาอยู่บ้าง”

จิ่งโม่เยี่ยแค่นเสียงเย็นชา “เป็นสตรีที่พูดโกหกได้หน้าตายจริงๆ”

เขากล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปที่เตียงของนางแล้วล้มตัวนอน ก่อนจะใช้มือตบเตียงเบาๆ

นางถามอย่างระแวง “ทำอะไรน่ะเพคะ?”

จิ่งโม่เยี่ยคลี่ยิ้มบางๆ “เจ้าหลงรักข้ามิใช่หรือ? ข้าก็เลยให้โอกาสเจ้าได้ใกล้ชิดข้าอย่างไรล่ะ”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

ขอบใจ แต่โอกาสแบบนี้นางไม่อยากได้สักนิด

นางถามเขา “ขอบังอาจถามท่านอ๋อง ท่านเปลี่ยนจากคนที่อยากบีบคอให้ตาย เป็นคนที่อยากใกล้ชิดสนิทสนมได้อย่างไร โดยที่ไม่ตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อยเพคะ?”

จิ่งโม่เยี่ยตอบกลับ “แล้วแต่อารมณ์”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

แม้นางจะไม่ได้คาดหวังคำตอบจากปากของเขาแต่แรก แต่วิธีการพูดจาของเขามันทำให้นางอยากบีบคอเขาเหลือเกิน

ผู้ชายคนนี้พูดจาหาเรื่องโดนต่อยเก่งจริงๆ!

จิ่งโม่เยี่ยมองนางแล้วกล่าว “ข้าจะนับถึงสาม หากเจ้ายังไม่ยอมมาตรงนี้ ข้าจะ...”

เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค เฟิ่งชูอิ่งก็กระโดดขึ้นเตียงแล้วดึงผ้านวมห่มคลุมร่างของพวกเขา

จิ่งโม่เยี่ย “...เจ้าจะทำอะไร?”

เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยถาม “ท่านอ๋อง คราวนี้ท่านพอใจแล้วหรือยัง?”

จิ่งโม่เยี่ยหรี่ตาเล็กน้อยแล้วตอบ “พอใช้ได้”

เฟิ่งชูอิ่งพลิกขึ้นคร่อมร่างเขา “พอใช้ได้แปลว่าไม่เลว ถ้างั้นตอนนี้พวกเราก็ใกล้ชิดสนิทสนมกันได้แล้วสินะ?”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status