Share

บทที่ 9

ฮว๋าซื่อโกรธจนพูดอะไรไม่ออก

เฟิ่งชูอิ่งหันไปทางหลินชูเจิ้ง “ท่านลุง สาวใช้คนนี้ยกให้ท่านลุงกับท่านป้าจัดการตามที่เห็นสมควรเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่คัดค้านอยู่แล้ว”

วันนี้หลินชูเจิ้งถูกขัดจังหวะความสุขและกำลังหงุดหงิดอย่างมาก จึงเอ่ยว่า “สาวใช้คนนี้ล่วงเกินเจ้านาย หมายจะสังหารฮูหยินเอกของจวน ลากตัวออกไปโบยจนตาย!”

บัดนี้ สติสัมปชัญญะบางส่วนของสาวใช้เริ่มกลับมาแล้ว ทว่านางกลับดูโง่งมเซื่องซึม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

นางหันไปอ้อนวอนฮว๋าซื่อ “ฮูหยิน ช่วยบ่าวด้วย!”

ฮว๋าซื่อได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะบีบคอนางให้ตาย

คืนนี้ตอนที่สาวใช้นางหนีถือมีดทำครัวบุกเข้ามาในห้อง นางหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แล้วยังได้รับบาดเจ็บหนักด้วย

นังสารเลวนี่ยังมีหน้ามาร้องขอความเมตตาจากนางอีก!

นางกล่าวอย่างเดือดดาล “มัวนิ่งอยู่ทำไมล่ะ ยังไม่รีบลากนางออกไปโบยอีก!”

สาวใช้คนนั้นดิ้นขัดขืนสุดชีวิต อ้าปากพะงาบๆ คล้ายต้องการพูดบางอย่าง ทว่ากลับถูกบ่าวหญิงคนหนึ่งเอามือปิดปากแล้วลากตัวออกไป

ตอนที่นางถูกลากผ่านตัวเฟิ่งชูอิ่งไป เฟิ่งชูอิ่งก็หันไปส่งยิ้มที่ดูไม่คล้ายยิ้มให้นาง แล้วขยับปากแบบไม่ออกเสียง “บ่าวทรยศนายอย่างเจ้า ตายไปได้เสียก็ดี!”

พริบตานั้นเอง แววตาของสาวใช้คนนั้นก็ฉายความหวาดกลัวอย่างสุดชีวิต

เฟิ่งชูอิ่งคนที่อยู่ตรงหน้านางนี้แตกต่างจากสาวน้อยขี้ขลาดในอดีตอย่างสิ้นเชิง!

นางดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่านางจะขัดขืนสักแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

ไม่นานนางก็ถูกลากตัวออกไปด้านนอก ถูกอุดปากและโบยจนตาย

นัยน์ตาของเฟิ่งชูอิ่งคมปลาบ นางไม่อาจสืบหาได้ว่าคนในจวนสกุลหลิน ในอดีตเคยรังแกร่างเดิมอย่างไรบ้าง

แต่ตอนนี้นางคือเฟิ่งชูอิ่ง ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนในจวนสกุลหลิน ก็อย่าหวังว่าจะรังแกนางได้อีก!

พวกเขาจับนางแต่งงานกับอ๋องฉู่ ใช้นางเป็นบันไดปีนขึ้นสู่ที่สูง แล้วยังคิดจะเอาชีวิตนางอีก ถ้างั้นนางก็จะเป็นฝ่ายเอาชีวิตของพวกเขาก่อน!

นางจะทำให้จวนสกุลหลินวุ่นวาย จนหาความสงบสุขไม่ได้อีกเลย

การตายของสาวใช้คนนั้นไม่ได้สร้างคลื่นลมอะไรขึ้นในจวนสกุลหลิน

พวกบ่าวรับใช้ในจวนก็แค่สงสัยว่านางเป็นอะไร ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ถือมีดบุกไปทำร้ายฮว๋าซื่อกับหลินหว่านถิง

หลังตัดสินโทษสาวใช้คนนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็กลับไปเป็นเด็กสาวขี้ขลาดที่ว่านอนสอนง่ายเหมือนในอดีต ถือโคมไฟเดินกลับห้องเพียงลำพัง

ตอนที่นางเดินมาถึงประตูห้อง กลับเห็นว่ามีคนถือโคมไฟไปด้อมๆ มองๆ อยู่แถวเรือนหลังเก่าที่โดยไฟไหม้ของนาง

มุมปากของนางพลันยกสูง พวกบ่าวในจวนสกุลหลิน ก็โลภมากน่ารังเกียจไม่ต่างไปจากเจ้านายของพวกเขาเลย

ในเมื่อพวกเขาทำตัวร้ายกาจกับนางถึงเพียงนั้น นางจะกลั่นแกล้งพวกเขาคืนบ้างก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

ตอนที่นางผลักบานประตูเตรียมจะเข้าไปในห้อง หลินหว่านถิงก็กลับมาถึงเรือนที่พักเช่นกัน

วันนี้พวกนางทั้งสองคนได้แตกหักกันเรียบร้อยแล้ว หลินหว่านถิงจึงหันมาถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง ทำท่าจะเปิดประตูเข้าห้องไป

เฟิ่งชูอิ่งจึงเอ่ยเรียกนางจากด้านหลัง “พี่สาว คนเราต้องรู้จักมีขอบเขตกันบ้าง วันหน้าจะได้มองหน้ากันติด

“หากท่านถลำลึกจนเกินไป มันจะเป็นการตัดทางรอดของตัวเองนะ”

หลินหว่านถิงได้ยินเช่นนั้นก็ปาโคมไฟในมือลงพื้นทันที โคมดวงนั้นจึงลุกไหม้ขึ้นมาในเสี้ยวพริบตา

นางจ้องเฟิ่งชูอิ่งแล้วกล่าว “อย่าคิดว่าได้แต่งงานกับท่านอ๋องฉู่ แล้วเจ้าจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายไปหน่อยเลย?

“ข้าจะบอกอะไรให้ฟังนะ อีกเดี๋ยวเจ้าก็ต้องตายแล้ว!”

เฟิ่งชูอิ่งแสร้งเล่นตามน้ำ “ไอ้หยา ข้ากลัวจังเลย!”

หลินหว่านถิง “......”

นางกำมือแน่นจนเป็นหมัด คิดจะเข้าไปตบเฟิ่งชูอิ่งสักฉาด

ทว่าเฟิ่งชูอิ่งกลับหยิบมีดทำครัวออกมาจากไหนก็ไม่รู้ “บิดามารดาของข้าล้วนตายจาก ชีวิตอาภัพอับโชค

“หากวันใดข้าต้องตายขึ้นมา อย่างไรก็ต้องลากผู้อื่นไปด้วยสักสองสามคน เวลาลงไปปรโลกจะได้ไม่อ้างว้าง”

หลินหว่านถิงสบถว่า “อีบ้า” ก่อนจะพาสาวใช้เดินกลับเข้าห้องไปทันที

เฟิ่งชูอิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเพิ่งจะทะลุมิติมาวันแรกก็ครื้นเครงถึงเพียงนี้แล้ว นางสนุกมากเลยล่ะ

นางหวังว่าหลังจากวันนี้ไป จวนสกุลหลินจะมีเรื่องครื้นเครงเช่นนี้เกิดขึ้นไม่เว้นวัน

หลังกลับเข้ามาในห้อง นางก็แขวนถุงปูนขาวเอาไว้บนขอบประตู ก่อนจะใช้เชือกป่านถักเงื่อนเป็นตามลักษณะเฉพาะของลัทธิเต๋าไว้ที่ขอบหน้าต่าง

หลังทำทุกอย่างเรียบร้อย นางถึงได้ล้มตัวนอนที่เตียง

หลับถึงกลางดึก นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากประตูห้อง “ดวงตาข้า!”

นางจึงคว้าตะเกียงขึ้นมาส่องดู พบเงาดำตะคุ่มสายหนึ่งกำลังวิ่งออกไป

วันนี้นางก่อเรื่องเอาไว้มากมาย แล้วยังได้ตั๋วเงินจากหลินชูเจิ้งมาอีกหนึ่งร้อยตำลึงเงิน หากคนในจวนสกุลหลินไม่ลงมือทำอะไรเลยก็คงแปลกแล้วละ

ด้วยเหตุนี้เอง นางถึงได้เตรียมกับดักเอาไว้ที่ประตูกับหน้าต่างอย่างไรล่ะ

เดิมทีนางคิดว่าถ้าไม่ต้องใช้พวกมันก็คงดี แต่หากมีคนไม่ดูตาม้าตาเรือกล้ามาหาเรื่องนางจริงๆ นางก็จะไม่เสียเปรียบคนเหล่านั้น

ผลคือยังผ่านไปไม่ทันไร ก็มีคนบุกมาให้นางเชือดถึงที่เลย

เฟิ่งชูอิ่งอ้าปากหาวหวอด ก่อนจะคิดว่าหากนางไม่เอะอะโวยวายเสียหน่อย คงจะเป็นการผิดต่อพวกคนในจวนสกุลหลินที่เพียรพยายามจะทำร้ายนางเสียเหลือเกิน

นางคว้าอ่างทองแดงที่อยู่ตรงมุมห้องออกมา ก่อนจะใช้ไม้กระบองเคาะจนเกิดเสียงดังก๊องแก๊ง

พร้อมกับแหกปากตะโกนว่า “ใครก็ได้ ช่วยจับขโมยที! ในจวนมีขโมยบุกเข้ามา!”

เสียงไม้เคาะกับอ่างทองแดง มีความใกล้เคียงกับเสียงตีฆ้องอย่างมาก อีกทั้งเสียงยังดังมากด้วย

ช่วงดึกสงัดเช่นนี้ รอบด้านมีเพียงความเงียบงัน นางเคาะเพียงไม่กี่ที คนทั้งจวนก็สะดุ้งตื่นพร้อมกันหมดแล้ว

หลินชูเจิ้งเพิ่งจะอารมณ์หดหาย เพราะเสียงกรีดร้องของฮว๋าซื่อตอนช่วงหัวค่ำไปหมาดๆ

พอเขากลับไปที่ห้อง อนุภรรยาก็ต้องฝืนใจประจบ งัดทุกกลเม็ดออกมาใช้ถึงทำให้เขาเกิดอารมณ์ร่วมขึ้นมาได้

คราวนี้พอถึงช่วงใกล้จะเสร็จสม เขากลับถูกเสียงเคาะของเฟิ่งชูอิ่งทำให้หมดอารมณ์ซ้ำสอง

หลินชูเจิ้งระเบิดโทสะ “มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นอีก?”

บ่าวชายที่ยืนเฝ้าประตูตอบว่า “คุณหนูต่างสกุลถูกโจรปล้นขอรับ”

หลินชูเจิ้งหงุดหงิดจนอยากทึ้งหัวตัวเอง ดูเหมือนตั้งแต่นางกลับมาที่จวนวันนี้ ภายในจวนก็เกิดไฟไหม้ สาวใช้เอามีดไล่แทงเจ้านาย ตกดึกยังมีโจรบุกขึ้นจวนอีก ไม่มีสักเสี้ยวนาทีที่จวนแห่งนี้จะสงบสุข

หลายปีที่ผ่านมานี้เขาปล่อยปละละเลยให้พวกบ่าวในจวนรังแกเฟิ่งชูอิ่ง พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา เขาก็พอจะเดาได้รางๆ ว่าอะไรเป็นอะไร

แต่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเฟิ่งชูอิ่งจะถูกขโมยของ ถูกทุบตีหรือถูกแย่งของอะไรไป นางก็จะไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว แต่มาคราวนี้กลับเอะอะโวยวายเสียใหญ่โต นางเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!

แต่เรื่องนี้เขาจะปล่อยเอาไว้ก็ไม่ได้ จึงหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมแล้วเดินเข้าไปถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “ท่านลุง ท่านมาก็ดีแล้ว เมื่อครู่นี้มีขโมยบุกเข้ามาในห้องข้า เขาเอาตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงที่ท่านพ่อของข้าทิ้งเอาไว้ไปแล้ว!”

“ตอนที่เขาบุกเข้ามา ข้าได้ใช้ผงปูนขาวสาดใส่ตาของเขา คิดว่าคงหนีไปได้ไม่ไกล ท่านลุงลองให้คนสืบหาก็น่าจะเจอ!”

หลินชูเจิ้ง “......”

นี่นางยังมีเงินเหลืออยู่อีกงั้นหรือ วันนี้นางเอาเงินของเขาไปหนึ่งร้อยตำลึง แต่หากยามนี้เขาเอาตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงของนางมาได้ ก็นับว่าเป็นกำไรของเขา

เขาเอ่ยเสียงต่ำ “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน ทำไมถึงปล่อยให้โจรเข้ามาในจวนได้!”

“พวกเจ้าน่ะ ค้นให้ทั่วทุกซอกทุกมุม จับเจ้าขโมยคนนั้นกลับมาให้ได้เข้าใจไหม?”

บ่าวรับใช้ทั้งหมดรับคำสั่งแล้วแยกย้ายกันออกไป

เขาหันกลับไปพูดกับเฟิ่งชูอิ่ง “ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เอาไว้ลุงจับตัวขโมยคนนั้นได้เมื่อไหร่ ค่อยเอาตั๋วเงินมาคืนเจ้าก็แล้วกัน”

เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างชอกช้ำ “ท่านลุงจะต้องจับขโมยคนนั้นให้ได้นะเจ้าคะ นั่นเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้ข้า”

หลินชูเจิ้งรับคำแบบขอไปที ก่อนจะบอกให้นางไปพักผ่อน

จวนสกุลหลินไม่ได้ใหญ่โตอะไร แล้วขโมยคนนั้นยังได้รับบาดเจ็บที่ตาอีก ดังนั้นจึงตามจับตัวได้ไม่ยากเย็น

เฟิ่งชูอิ่งไม่สนใจหรอกว่าหลินชูเจิ้งใช้เวลานานเท่าไหร่ในการจับตัวโจรคนนั้น นางแค่ไม่อยากให้เขาได้พักผ่อนอย่างเป็นสุข ก็เลยหางานให้เขาทำ

ถึงอย่างไรนางก็ไม่เสียอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้จึงนอนหลับได้อย่างสบายใจ

เมื่อนางกลับมาที่ห้องแล้วลงกลอนประตู หันกลับไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งนอนตะแคงอยู่บนเตียงของนาง ก็ตกใจจนสะดุ้งเฮือก!

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status