Share

บทที่ 2

หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้น

เฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร

ทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลย

ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรี

ในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้

เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูก

เฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศาจ=เยาเนี่ย ใช้กล่าวถึงคนที่มีหน้าตางดงาม/หล่อเหลาราวกับปีศาจจำแลงกายมา]

ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือออร่อที่เปล่งประกายของเขา หากอยู่ในวงการบันเทิงเมื่อชาติที่แล้วละก็ จะต้องถีบดารานักแสดงชั้นนำทั้งหลายจนตกกระป๋อง และช่วงชิงหัวใจของสาวๆ ได้ภายในเสี้ยววินาที

ภาพลักษณ์ของเขาดูเป็นคนอบอุ่นมากเกินไป ขัดกับบทบาทตัวร้ายอย่างสิ้นเชิง

เรื่องราวที่ผิดวิสัยเช่นนี้ จะต้องมีอะไรในก่อไผ่แน่นอน นางจึงตั้งท่าระแวงไว้ก่อน

จิ่งโม่เยี่ยใช้สายตาไล่มองคนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างช้าๆ ทว่าทุกคนที่โดนสายตาของเขากวาดผ่าน กลับรู้สึกสราญใจดังต้องสายลมในยามวสันต์

จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดที่เฟิ่งชูอิ่ง นางก็รีบก้มหน้างุดลงทันที ก่อนจะกลาวอย่างขัดเขินว่า “ท่านอ๋องย่อมมิใช่คนขี้โรคเพคะ

“ในสายตาของข้า ท่านอ๋องเป็นดั่งเทวดาบนสรวงสวรรค์”

จิ่งโม่เยี่ยมองนางและกล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร?”

เฟิ่งชูอิ่งก้มหน้าตอบกลับ “ข้าคือว่าที่พระชายาของท่านอ๋อง เฟิ่งชูอิ่งเพคะ”

ดวงตาดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ยเหลือบขึ้นเล็กน้อย ยกพัดด้ามจิ้วในมือเชยปลายคางของนาง จนนางต้องแหงนหน้าขึ้นมามองเขา

ยามนี้ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก เพียงเฟิ่งชูอิ่งเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นนัยน์ดำขลับทั้งสองของเขาทันที ทำเอานางตัวแข็งไปครู่หนึ่ง

แม้ใบหน้าเขาจะยิ้มแย้ม แต่ดวงตาของเขากลับเย็นเยียบเหมือนสวนร้างที่ถูกแช่แข็งมาหลายพันปี สัมผัสความอบอุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว

นางเผลอตรวจโหงวเฮ้งของเขาอย่างลืมตัว แต่กลับพบว่าทั้งตัวของเขาเหมือนภูเขาหิมะที่มีน้ำแข็งปกคลุมหมื่นลี้ จนมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง

เพียงแต่จุดระหว่างคิ้วของเขามีไอสีดำประหลาดล่องลอยออกมา ดูแปลกพิกลอย่างมาก

ในใจของนางรับรู้ถึงสัญญาณอันตรายได้ จึงเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นเสียก่อน “อัปลักษณ์จริง”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

ชาติก่อนนางถูกเรียกว่าสาวงามอันดับหนึ่งของวงการศาสตร์ลี้ลับเลยนะ จะอัปลักษณ์ได้อย่างไร?

เขากล่าวจบก็หันไปถามเฉินเยี่ยนเซิง “แล้วเจ้าเป็นใคร?”

ตอนแรกเฉินเยี่ยนเซิงยังนึกกลัวฐานะของจิ่งโม่เยี่ยอยู่บ้าง แต่เมื่อได้เห็นท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนของเขา ความกลัวก็มลายหายทันที

ความคิดชั่วร้ายพลันผุดขึ้นในใจ เขาแสยะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าคือเฉินเยี่ยนเซิง คนรักของเฟิ่งชูอิ่ง ว่าที่พระชายาของท่านอย่างไรละ

“นางรังเกียจเดียดฉันท์ท่านอ๋อง ก็เลยหอบสมบัติทั้งหมดมาที่นี่เพื่อหนีตามข้า

“อย่างไรเสียพระวรกายของท่านอ๋องก็ไม่ค่อยดี แล้วยังคิดว่าเฟิ่งชูอิ่งอัปลักษณ์อีก มิสู้ยกนางให้ข้าเล่า?”

เฟิ่งชูอิ่งหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เจ้าบุรุษปากปีจอคนนี้อยากตายก็แล้วไปเถิด แต่อย่าลากนางไปเอี่ยวได้ไหมเล่า!

จิ่งโม่เยี่ยแย้มยิ้มอ่อนโยน ใช้ดวงตาดอกท้อมองไปทางเฟิ่งชูอิ่ง

นางรู้สึกราวกับตกลงไปในเหวน้ำแข็ง รีบอธิบายทันที “ท่านอ๋องอย่าไปฟังเรื่องเหลวไหลของเขานะเพคะ มันไม่เคยมีเรื่องหนีตามกันอะไรทั้งนั้น!”

“ตั้งแต่ข้าทราบว่าจะได้แต่งงานกับท่านอ๋อง ข้าก็ดีใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรเลยเพคะ!”

จิ่งโม่เยี่ยเลิกคิ้วโก่งเล็กน้อย “งั้นหรือ?”

หลินหว่านถิงกระชากย่ามสะพายของเฟิ่งชูอิ่งคล้ายไม่ได้ตั้งใจ ก้อนตำลึงเงินและเครื่องประดับมีค่าทั้งหมดจึงร่วงลงมา

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

นางมองออกแล้วละ หลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงคิดจะฆ่านางให้ตาย

ของมีค่าพวกนี้เป็นสมบัติที่นางขนมาเพื่อหนีตามชายชู้จริงๆ นางควรจะอธิบายอย่างไรดีล่ะ?

หลินหว่านถิงเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “น้องสาว ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้เลย”

นางเอ่ยขอโทษจบก็กล่าวด้วยท่าทางสงสัยเต็มประดา “เพียงแต่ น้องสาวเดินทางมาเพื่อจุดธูปขอพรมิใช่หรือ ทำไมต้องพกของมีค่ามาเยอะแยะขนาดนี้ละ? หรือว่า...”

นางพลันอุทานด้วยความตกใจ “หรือว่าที่คุณชายเฉินพูดมาจะเป็นเรื่องจริง เจ้าต้องการหนีตามเขา?

“น้องสาว เจ้าทำแบบนี้ จะให้ท่านอ๋องหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ?”

ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองของเฟิ่งชูอิ่ง ในใจของนางมีแผนการรับมือเอาไว้แล้ว

นางกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “พี่สาว เฉินเยี่ยนเซิงจะใส่ร้ายข้าก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมท่านถึงคิดจะใส่ความข้าด้วยอีกคนล่ะ?”

“ตำลึงเงินพวกนี้เป็นเงินที่ข้าเก็บสะสมเอาไว้ สาเหตุที่นำติดตัวมาทั้งหมด ก็เพราะว่า...”

เฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองจิ่งโม่เยี่ยแวบหนึ่งด้วยท่าทางเขินอาย “เพราะข้าได้ยินว่าพระวรกายของท่านอ๋องมิสู้ดีนัก ก็เลยอยากจะทำบุญขอพรให้เขา

“ข้ายินดีจะเสียสละทุกอย่างที่มี แลกกับการให้ท่านอ๋องมีพระพลานามัยแข็งแรง โรคภัยไม่กล้ำกลาย!”

หลินหว่านถิง “......”

เฉินเยี่ยนเซิง “......”

หากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่แผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ เกรงว่าพวกเขาคงจะเชื่อนางไปแล้ว!

เฉินเยี่ยนเซิงสบถอย่างไม่พอใจ “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าไม่เคยชอบอ๋องฉู่ขี้โรคคนนั้นสักนิด...”

ทว่าพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงของเขาก็ขาดหายไปกลางคัน เพราะมีมีดเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในปากของเขา ตัดลิ้นเขาจนขาดกระเด็น

หลินหว่านถิงตกใจกลัวจนหน้าซีด

เฟิ่งชูอิ่งคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจิ่งโม่เยี่ยจะลงมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่ภายในใจกลับรู้สึกว่า ‘ว่าแล้วเชียวต้องเป็นแบบนี้’ เสียอย่างนั้น

จิ่งโม่เยี่ยดึงมีดกลับมาด้วยจังหวะไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป ก่อนจะใช้ชายอาภรณ์ของเฉินเยี่ยนเซิงเช็ดเลือดที่เปื้อนมีดอย่างพิถีพิถัน “เจ้าหนวกหูเกินไป”

เฉินเยี่ยนเซิงมองอีกฝ่ายคล้ายไม่อยากเชื่อ เตรียมจะอ้าปากพูดบางอย่าง ทว่ายังไม่ทันจะได้เปล่งเสียงออกมา เลือดก็ไหลทะลักจากปากเขาแล้ว

จิ่งโม่เยี่ยสะบัดมือกางพัดด้ามจิ้วในมือออก เลือดเหล่านั้นจึงกระเซ็นลงบนพัด ไม่เปรอะเปื้อนอาภรณ์สีขาวของเขาเลยแม้แต่หยดเดียว

เขาปรายตามองเฉินเยี่ยนเซิงที่มีเลือดเปรอะทั่วตัวอย่างรังเกียจ นัยน์ตาทอประกายเยือกเย็น แต่กลับเอ่ยถามทหารองครักษ์ด้านหลังด้วยเสียงอ่อนโยน “ล่วงเกินเชื้อพระวงศ์ มีโทษสถานใด?”

ทหารองครักษ์ตอบ “พันมีดหมื่นแล่[footnoteRef:2]พะย่ะค่ะ” [2: เป็นวิธีการลงโทษของจีนในสมัยก่อน โดยการใช้มีดแล่เนื้อออกเป็นชิ้นบางๆ จนกว่านักโทษจะตาย]

จิ่งโม่เยี่ยใช้ปลายนิ้วหมุนควงมีดเล่มเล็กที่แสบคมกริบ ก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ถ้างั้นก็จัดการเถิด”

ทหารองครักษ์รับบัญชา จับกุมตัวเฉินเยี่ยนเซิงมามัดด้วยความว่องไว ก่อนจะนำตาข่ายขนาดเล็กมาพันตัวเขาอีกรอบ

เนื้อหนังของเฉินเยี่ยนเซิงถูกช่องตาข่ายกดทับจนนูนเด่น ทหารองครักษ์จึงใช้มีดเล่มเล็กเฉือนเนื้อบริเวณนั้นทันที

หากใช้วิธีการเฉือนแบบนี้ เกรงว่าจะต้องเฉือนหลายพันครั้งคนถึงจะตาย

เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกขยะแขยงเล็กน้อย ก่อนจะแอบทอดถอนใจ สมกับเป็นตัวร้ายโรคจิตในนิยายที่สร้างปัญหาให้พระเอกนางเอกหัวหมุนได้ แม่งโรคจิตเข้าขั้นจริงๆ!

นางคำนวณได้ว่าเฉินเยี่ยนเซิงจะต้องตาย แต่ไม่คิดว่าเขาจะตายด้วยวิธีนี้!

เฉินเยี่ยนเซิงเจ็บปวดจนตัวชักกระตุก อยากจะแหกปากร้องลั่น ทว่าลิ้นของเขาถูกตัด จึงเปล่งได้แค่เสียง ‘อื้อ อื้อ’ เท่านั้น

จิ่งโม่เยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย “หนวกหูชะมัด”

ทหารองครักษ์ชักดาบออกมา กระชากของเฉินเยี่ยนเซิงให้อ้าออกแล้วสอดดาบเข้าไปในลำคอของเขา จัดการตัดเส้นเสียงของเขาทิ้ง ทำให้เขาส่งเสียงออกมาไม่ได้แม้แต่แอะเดียว

แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทว่าเพิ่งจะมากลัวเอาป่านนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

จิ่งโม่เยี่ยเอียงศีรษะไปมองเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้าคิดจะหนีตามเขา?”

เฟิ่งชูอิ่งเย็นวาบไปทั้งตัว รีบปฏิเสธทันควัน “ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนั้น เมื่อครู่นี้ท่านอ๋องน่าจะได้ยินเรื่องราวทุกอย่างจากห้องข้างๆ แล้ว เขาตั้งใจจะข่มเหงข้าต่างหากละ!”

จิ่งโม่เยี่ยมองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “แน่ใจหรือ? ทำไมข้ารู้สึกว่าได้ยินมากกว่านั้นนะ?”

เฟิ่งชูอิ่งมองสบตานัยน์ตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของเขาแล้วพลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ พลันรู้สึกขนหัวลุกทันที

ก่อนนางจะทะลุมิติมาที่นี่ ร่างเดิมตั้งใจจะหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงไปจริงๆ ตอนนั้นดูเหมือนว่าทั้งคู่จะกำลังวางแผนหาวิธีการหนีออกจากเมืองหลวงอยู่ในห้อง...

เขาคงไม่ได้ยินเรื่องพวกนั้นด้วยกระมัง?

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status