Share

บทที่ 3

เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัว

นางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้

นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ

“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน

“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน

“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย

“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน

“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า

“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต่ตอนนั้น

“ดังนั้นตอนที่ทราบว่าข้าจะได้แต่งงานกับท่านอ๋อง ข้าก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยเพคะ!”

หลินหว่านถิงได้ยินสิ่งที่นางพูดก็ใจหายวาบ นางรู้เรื่องแผนการทั้งหมดได้อย่างไร?

หลินหว่านถิงกล่าวแทรกอย่างร้อนรน “น้องสาว เจ้าจะหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงก็ช่างเถิด ทำไมจะต้องใส่ร้ายป้ายสีข้าด้วย!

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จวนสกุลหลินเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้าเป็นอย่างดี คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะตอบแทนด้วยการทรยศกันเช่นนี้!”

เฟิ่งชูอิ่งคลี่ยิ้มเย็นชา “จวนสกุลหลินเลี้ยงดูปูเสื่อข้าเป็นอย่างดี? ให้ข้ากินแค่หมั่นโถวเย็นชืดกับผักดองเค็มเรียกว่าเลี้ยงดูอย่างดีหรือ?

“แล้วดูคนสกุลหลินสิ ตั้งแต่ข้าขนทรัพย์สมบัติมาอาศัยที่จวนสกุลหลิน พวกเจ้าก็กินดีอยู่ดี มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“เรื่องที่พวกเจ้าพากันสูบเลือดสูบเนื้อข้าก็แล้วไปเถิด แต่ยังคิดจะเอาชีวิตข้าเพราะเรื่องการแต่งงานอีก พวกเจ้ายังมีความเป็นคนหลงเหลือบ้างไหม?”

นางกล่าวจบก็หันมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยท่าทางน่าสงสาร “ท่านอ๋อง คืนวันแต่งงานของพวกเรา ข้าจะต้องหอบทรัพย์สินทั้งหมดที่มีไปแต่งงานกับท่านแน่นอนเพคะ”

หากนางต้องเลือกระหว่างแตกหักกับหลินหว่านถิงหรือล่วงเกินจิ่งโม่เยี่ย นางย่อมเลือกข้อแรกอย่างไม่ลังเล

แม้การทำเช่นนี้จะทำให้นางใช้ชีวิตในจวนสกุลหลินลำบากมากกว่าเดิม แต่อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตดวงน้อยๆ เอาไว้ได้

ตอนนี้ต้องผ่านวิกฤตตรงหน้าไปให้ได้ก่อน เรื่องหลังจากนั้นค่อยคิดหาทางอีกที

คิ้วเรียวของจิ่งโม่เยี่ยยกขึ้นเบาๆ “งั้นหรือ? ข้าจะตั้งตารอก็แล้วกัน”

เขากล่าวจบก็เดินเข้ามาหาเฟิ่งชูอิ่ง ก้มกระซิบข้างหูของนางว่า “ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเปลี่ยนใจเพราะอะไร...”

เฟิ่งชูอิ่งสีหน้าแข็งค้าง จิ่งโม่เยี่ยกล่าวต่อว่า “แต่เห็นแก่ที่เจ้าแสดงละครได้น่าสนใจอยู่บ้าง ข้าจะยังไม่เอาชีวิตเจ้าตอนนี้

“จำไว้ให้ดี ครั้งหน้าที่เจอกันอย่างลืมทำให้ข้าประหลาดใจด้วยล่ะ มิฉะนั้นข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าแบบทบต้นทบดอกเลย”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

แปลว่าเขาไม่เชื่อเรื่องที่นางเล่าออกมาตั้งแต่ประโยคแรกเลยสินะ?

ทว่าตอนนั้นเอง สุนัขจรจัดตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอก ส่งเสียงเห่าพวกเขาไม่หยุด

จิ่งโม่เยี่ยสบถอย่างไม่สบอารมณ์ “หนวกหูเสียจริง”

ครู่ต่อมา ทหารองครักษ์ด้านหลังก็ยิงธนูทะลุศีรษะของสุนัขจรจัดตัวนั้น ก่อนจะเอาตัวไปตอกตะปูติดกับต้นไม้แถวนั้น ทำเอาบรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดจนวังเวงเลยทีเดียว

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”

นางนึกย้อนคำพูดที่จิ่งโม่เยี่ยพูดก่อนเฉินเยี่ยนเซิงจะโดนเชือดสด ขนอ่อนทั่วร่างก็ลุกเกรียวขึ้นมาพร้อมกัน

จิ่งโม่เยี่ยเห็นสีหน้าของนางก็ยิ้มอย่างผ่อนคลาย “โลกใบนี้สมควรจะสงบเงียบเช่นนี้แหละถึงจะดี เจ้าคิดแบบนั้นไหม คุณหนูเฟิ่ง?”

เฟิ่งชูอิ่ง “...เพคะ! ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกต้องแล้ว!”

จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะเบาๆ ยกมือข้างหนึ่งไพล่หลังแล้วเดินจากไปอย่างสุขุม ท่าทางบริสุทธิ์ผุดผ่องเหนือคาวโลกีย์ ประหนึ่งเทพเซียนลงมาจุติ

มีเพียงรอยเลือดจุดเล็กๆ ที่เปื้อนบนอาภรณ์สีขาวของเขา ที่ช่วยเตือนสตินางว่าเขาเพิ่งจะทำอะไรลงไปบ้าง

นางหันกลับไปมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อหนังออกมาทั้งตัว ทว่ายังตายไม่สนิท ก่อนจะตัวสั่นเทิ้ม

หลินหว่านถิงที่เป็นคุณหนูในห้องหอ ย่อมไม่เคยเห็นฉากน่าสะเทือนขวัญเช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกมือไม้อ่อนแรง แข็งขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่

พอจิ่งโม่เยี่ยจากไป นางก็สั่งให้คนประคองออกจากอารามทันที ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรกับเฟิ่งชูอิ่งทั้งนั้น

เฟิ่งชูอิ่งก็ไม่อยากอยู่ตรงนี้นานเหมือนกัน นางกวาดก้อนตำลึงและของมีค่าทั้งหมดลงในย่าม ยกสายสะพายคล้องแขนแล้วแจ้นออกจากที่นี่ทันที

แต่ตอนที่นางเดินออกมาถึงด้านหน้าอาราม ก็บังเอิญพบกับเจ้าอาวาสของอารามแห่งนี้

เจ้าอาวาสเอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “โยมเฟิ่งมีจิตคิดห่วงอ๋องฉู๋ เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อไหว้พระขอพรให้เขา พระโพธิสัตว์จะต้องอวยพรให้อ๋องฉู่อายุมั่นขวัญยืน อยู่ได้เป็นร้อยปีอย่างแน่นอน”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

หลังจากประสบพบเจอเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้ แม้นางจะทราบดีว่าเงินทองจำนวนนี้ไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าอาวาสจะมาดักทวงเงินนางโต้งๆ เช่นนี้

หลังจากร่างเดิมหอบสมบัติไปขออยู่อาศัยในจวนสกุลหลิน ทรัพย์สินทั้งหมดก็ยกให้คนของจวนหลินเป็นผู้ดูแล เงินทองที่สามารถหยิบจ่ายใช้สอบได้ล้วนขนติดตัวมาด้วยทั้งหมด

นางปลอบใจตัวเองว่าเงินทองเป็นของนอกกาย ขอแค่ไม่ตายอย่างไรก็หาใหม่ได้เสมอ แต่ชีวิตดวงน้อยของนางมีแค่ดวงเดียว ไม่อาจหามาทดแทนได้

นางมอบย่ามสะพายที่เต็มไปด้วยทรัพย์สินมีค่าให้เจ้าอาวาสด้วยสีหน้าเลื่อมใสศรัทธา ทว่ามือข้างหนึ่งกลับแอบหยิบไข่มุกสองเม็ดออกมาจากมุมย่าม ปล่อยให้มันกลิ้งจากกลางฝ่ามือหายเข้าไปในแขนเสื้อ

จิ่งโม่เยี่ยที่อยู่หลังหน้าต่างฉลุลายใกล้ๆ บริเวณนั้น มองเห็นทุกอย่างเต็มสองตา แววตาของเขาหม่นแสงลง ทว่ามุมปากกลับยกสูงเล็กน้อย “เป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ดีแต่พูดโกหกพกลมจริงๆ!”

หลังจากเจ้าอาวาสได้ย่ามมาจากเฟิ่งชูอิ่งก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ของมีค่าพวกนี้ต้องแบ่งข้าครึ่งหนึ่งนะ”

เขากล่าวจบก็เปิดย่ามออกเตรียมจะหยิบของ ทว่าจิ่งโม่เยี่ยพลิกมือกดทับย่ามเอาไว้ ก่อนจะใช้นัยน์ตาดอกท้อจ้องเจ้าอาวาสตรงหน้าอย่างเย็นชา

เจ้าอาวาสที่ถูกเขาจ้องก็ขนลุกขนพอง ดึงมือกลับมาอย่างเซื่องซึม ทว่าปากยังพยายามทวงผลประโยชน์ “ท่านเล่นฮุบไปหมดคนเดียวแบบนี้มันเป็นบาปนะ!”

จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “พระปลอมที่มือสกปรกอย่างเจ้า ยังกล้าพูดเรื่องบาปบุญกับข้าอีกหรือ?”

เจ้าอาวาสเดือดดาลจัด “อาตมาถือกำเนิดในชาติตระกูลดี ศึกษาพระธรรมคำสอนจนบรรลุเป็นภิกษุผู้ตรัสรู้ มิใช่พระปลอมอย่างที่ท่านกล่าวอ้าง!”

จิ่งโม่เยี่ยปรายสายตาเหนื่อยหน่ายมองเขาแวบหนึ่ง เขาก็สงบจิตสงบใจเอ่ยถามทันทีว่า “ท่านอ๋อง ว่าที่พระชายาของท่านน่าสนใจมิเบาเลย ท่านคิดจะแต่งกับนางจริงๆ หรือ?”

จิ่งโม่เยี่ยเสียงเนือยๆ “ขอแค่นางมีชีวิตรอดจนถึงวันแต่งงาน ทำไมข้าจะแต่งกับนางไม่ได้ล่ะ?”

เจ้าอาวาสมองเขาด้วยท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย “ว่าที่ภรรยาเจ็ดคนก่อนของท่านล้วนตายกันหมด หากนางตายไปอีกคน เกรงว่าท่านอ๋องจะได้เป็นกลายตัวอัปมงคลของแท้เลยล่ะ”

จิ่งโม่เยี่ยล้วงไข่มุกสองเม็ดออกมาจากย่ามแล้ววางบนโต๊ะ “ข้าพนันด้วยไข่มุกสองเม็ดนี้ เดิมพันว่านางจะมีชีวิตรอดจนถึงวันแต่งงาน”

เจ้าอาวาสยิ้มแล้วหยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาจากอกเสื้อหนึ่งแผ่น “ท่านอ๋องถึงกับมองว่านางมีค่าเท่ากับไข่มุกสองเม็ดนี้ แปลว่านางคงจะพิเศษมากจริงๆ สินะ”

“ในเมื่อท่านอ๋องพนันว่านางจะรอด ข้าก็คงพนันว่านางจะตายได้อย่างเดียว”

“ข้าไม่ได้แช่งนางหรอกนะ แต่เพราะมีคนไม่อยากให้ท่านอ๋องแต่งพระชายาได้อย่างราบรื่น ดังนั้นนับตั้งแต่ตอนที่ถูกกำหนดให้แต่งงานกับท่าน นางก็ถูกผู้อื่นหมายหัวแล้ว!”

จิ่งโม่เยี่ยหยิบผ้าเช็กหน้าออกมาแล้วไอโขลกๆ ก่อนจะก้มมองผ้าเช็ดหน้าที่มีสีแดงเข้มเปรอะเปื้อนอยู่ ความเย็นชาปกคลุมไปทั่วนัยน์ตา

เขาถามเจ้าอาวาส “หาวิธีคลายคำสาปได้หรือยัง?”

เจ้าอาวาสส่ายหน้า “คนที่ทำพิธีสาปแช่งท่านมีฝีมือร้ายกาจมาก หากหาของต้องสาปไม่เจอ ก็ไม่มีทางคลายคำสาปได้หรอก”

จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยถาม “ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน?”

เจ้าอาวาสตอบว่า “คำสาปที่ท่านโดนช่างอำมหิตยิ่งนัก...”

“นานเท่าไหร่” จิ่งโม่เยี่ยพูดตัดบท

เจ้าอาวาสจำใจตอบ “อย่างมากที่สุดก็สามเดือน ดวงชะตาของท่านถูกช่วงชิงไปหมดแล้ว ถึงตอนนั้นท่านก็จะ...”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status