เมื่อได้ยินถังเชี่ยนกล่าวโทษ เขาก็เหลือบมองไปที่ฉินอันอัน ฉินอันอันกำลังบอกช่างตัดผมเกี่ยวกับความยาวของผมที่เธอต้องการ “ฉันแนะนำให้เธอแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้เลย ให้ตำรวจเข้ามาจัดการได้เลย” เขาถือโทรศัพท์แล้วเดินไปข้างนอก น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเย็นชา “ถึงแม้ว่าฉินอันอันจะทำเรื่องนี้จริง ๆ แล้วยังไงล่ะ? ถ้าฉันเป็นเธอ วิธีการของฉันจะโหดเหี้ยมกว่านี้อีก” ถังเชี่ยนรู้สึกเวียนหัว! เธอคิดไม่ถึงว่าฟู่สือถิงจะตอบแบบนี้ “ฉันไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่าคนที่ลอกเลียนแบบฉินอันอันคือลูกพี่ลูกน้องของเธอ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” ฟู่สือถิงเปลี่ยนเรื่องและพูดอย่างเคร่งขรึม “ถังเชี่ยน รอให้ฉันได้หลักฐานเมื่อไหร่ ฉันจะไม่เมตตาเธอเลยสักนิดเดียว”ไม่ต้องพูดเรื่องนั่วนั่วเสียโฉมหรอก ต่อให้นั่วนั่วตายวันนี้ เขาก็ไม่เสียใจ! สำหรับเขาแล้ว นั่วนั่วตายร้อยครั้งก็ไม่พอ! ถังเชี่ยนเป็นฝ่ายวางสายก่อนเพราะรู้สึกกลัว ครั้งนี้เธออาจจะแพ้แล้ว!เธอจำคำเตือนที่เซิ่งเป่ยเตือนเธอได้ เธอช่างไร้เดียงสาจริง ๆ ที่คิดว่าตัวเองรู้จักฟู่สือถิงดีกว่าเซิ่งเป่ย ฟู่สือถิงดูเหมือ
ฟู่สือถิงรู้สึกว่าท่าทีของเธอรุนแรงเกินไป ดังนั้นจึงนั่งลงข้างเธอ พี่เลี้ยงเด็กเดินถือชามซุปไก่เข้ามา ครั้นเห็นพวกเขาสบสายตากันและกัน ดวงตาจับจ้องกันไม่คลาย ก็รีบวางชามซุปลงแล้วถอยออกไปอย่างรู้กาลเทศะทันที “ถ้าเขาเหนื่อยจริง เขาอยากจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านนานเท่าไหร่ก็ได้ ผมไม่คัดค้านหรอก” เขากลัวเด็ก ๆ จะได้ยินจึงลดเสียงลง “ตอนนี้ก็เปิดเทอมมาหนึ่งเดือนแล้ว เขาพักผ่อนอยู่บ้านหนึ่งเดือนแล้วยังพักไม่พอเหรอ?” “ไว้ฉันจะคุยกับเขาอีกทีค่ะ” ฉินอันอันยกชามซุปขึ้น ตักซุปหนึ่งช้อนเข้าปาก“ผมเกรงว่าเขาไม่ใช่แค่เหนื่อย แต่กำลังปิดบังบางอย่างกับคุณ” ฟู่สือถิงหยิบช้อนซุปจากมือของเธอ “ลูกชายของคุณซับซ้อนกว่าที่คุณคิดมาก” เธออยากเอาช้อนซุปคืนมาจากเขา ผลกลับเป็นเขาค่อย ๆ ตักน้ำซุปแล้วป้อนเข้าปากเธอ “ฉันไม่ได้อยากให้คุณป้อน” เธอหน้าแดงแล้วเอาช้อนกลับคืนมา “ฉันโทรหาคุณครูของเขาเป็นการส่วนตัวแล้ว คุณครูบอกว่าเขาเข้ากับเพื่อนที่ชั้นเรียนได้ดี และตอนค่ายปิดเทอมฤดูร้อนก็ปกติมากด้วย” “นอกเหนือจากเพื่อนร่วมชั้นแล้ว เขายังอาจจะติดพันกับสิ่งอื่น ๆ ได้ด้วย” ฟู่สือถิงยืนกรานการคาดเดาของตนเอง “ยิ่งไปกว่าน
แต่การที่จะเล่นงานถังเชี่ยนได้ จะต้องแสดงหลักฐาน “ที่รัก เมื่อบ่ายวันนี้ฟู่สือถิงจะมาที่บ้านของเรา เขาบอกว่าพอลูกเห็นเขาก็ไปแอบในห้อง” ฉินอันอันพูดอย่างกังวล “ที่นี่คือบ้านของลูก ลูกไม่จำเป็นต้องแอบเขาหรอกนะ” “ผมไม่ได้แอบครับ” เสี่ยวหานขมวดคิ้ว “ผมแค่ไม่อยากเห็นเขา” “แต่เขาวางแผนที่จะย้ายมาดูแลน้องที่นี่หลังจากที่น้องเกิด” ฉินอันอันตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกและถอนหายใจ “แบบนี้จะทำให้ลูกอึดอัดหรือเปล่า?” เสี่ยวหานขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น “งั้นผมจะทำเหมือนเขาเป็นอากาศ!” “ที่รัก ลำบากลูกแล้ว” ฉินอันอันตบไหล่ลูกชายของเธอด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “แม่เองไม่อยากให้เขาย้ายมาอยู่ที่นี่หรอก แต่เขาคิดว่าน้องชายต้องการการดูแลจากเขา น้องไม่ใช่ของแม่คนเดียว ดังนั้นแม่จึงไม่อาจปฏิเสธได้จริง ๆ” เสี่ยวหานสูดลมหายใจแล้วสัญญาว่า “แม่ไม่ต้องห่วง ผมจะทำเป็นไม่รู้จักเขา! รุ่ยลาก็ด้วย! ผมจะไม่ยอมให้น้องชายของผมรู้จักเขาเหมือนกัน!” ฉินอันอันอึ้งไป “???” จุดประสงค์ของการเปิดใจคุยกับลูกชายคืออะไรกันนะ? ดูเหมือนว่าจะเป็นการคลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ไม่ใช่เพื่อเพิ่มความขัดแย้งของพวกเ
“ทำไมปิดเครื่องล่ะ?” เธอกระซิบแล้วเดินออกไปนอกคฤหาสน์ “อันอัน คุณจะออกไปข้างนอกเหรอคะ?” แม่บ้านเห็นเธอออกไปแล้วจึงเดินตามเธอไปทันที “เสี่ยวเถียนบอกว่าจะมาหา แต่เธอยังไม่มาเลย ต่อให้รถจะติด ตอนนี้ก็น่าจะมาถึงได้แล้ว” เธอเดินออกไปมองนอกประตูลานบ้าน แม่บ้านพูดปลอบ “บางทีเธออาจจะแวะซื้อของขวัญอยู่ก็ได้นะคะ! ทุกครั้งที่เธอมาหา เธอจะเอาของขวัญมาให้ตลอด เธอก็ให้ความสำคัญกับมันมาก” คำพูดปลอบใจของแม่บ้านทำให้เธอผ่อนคลายเล็กน้อย “อันอัน ข้างนอกลมแรง เข้าข้างในกันดีกว่าค่ะ!” แม่บ้านกลัวเธอจะเป็นหวัด “คุณฟู่กำชับกับดิฉันว่าต้องดูแลคุณอย่างดี อย่าปล่อยให้คุณป่วย” ฉินอันอัน “ฉันอยู่แต่บ้านทุกวัน เหมือนดอกไม้ในเรือนกระจก ทำให้ฉันมีแนวโน้มที่จะป่วยง่ายกว่าเดิมอีก” “แต่ก็ไม่ควรออกไปตากลมข้างนอกค่ะ!” พี่แม่บ้านพาเธอเข้าไปในบ้าน “ช่วงฤดูเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงที่ป่วยง่ายที่สุดค่ะ” “มื้อเที่ยงเสร็จหรือยังคะ?” เธอถาม “เสร็จแล้วค่ะ คุณไปทานข้าวก่อนเถอะ! ยังไม่รู้เลยว่าเสี่ยวเถียนจะมาถึงเมื่อไหร่!” “ฉันจะรออีกหน่อย” ฉินอันอันสงสัย “ปกติเธอไม่ปิดโทรศัพท์เลย” “แบตเตอรี่อาจจะหมดตอนที่ออกมาก็ไ
“อร่อยจริงๆ ไม่หวานเกินไป ฉันกินได้เยอะเลย” ฉินอันอันชมและกัดอีกคำ “อิ๋นอิ๋น ตอนนี้เธอเริ่มเก่งขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ต่อไปเธออยากเรียนรู้อะไรอีกบ้าง?” “ฉันอยากเรียนขับรถ แต่พี่ไม่ยอมให้ฉันเรียน” อิ๋นอิ๋นขมวดคิ้วและขอร้อง “อันอัน ช่วยขอร้องพี่หน่อยได้ไหม?” ฉินอันอันเงยหน้าขึ้นมองเว่ยเจิน “คุณสองคนมาเพื่อคุยเรื่องนี้เหรอ?” เว่ยเจินส่ายหน้า “อิ๋นอิ๋นเอาเค้กมาให้เธอโดยเฉพาะเลยนะ เรื่องเรียนขับรถขับรถ ก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน” ฉินอันอันมองอิ๋นอิ๋น “อิ๋นอิ๋น ทำไมเธอถึงอยากเรียนขับรถล่ะ? เธอไม่กลัวอันตรายเหรอ?” “พวกเธอขับรถเป็นกันหมดเลย ฉันก็เลยอยากเรียนเหมือนกัน ถ้าฉันไม่ขับรถไปในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน มันก็ไม่เป็นอันตรายหรอก” อิ๋นอิ๋นทำมีสีหน้าน่าสงสารและขอร้องเธอด้วยสายตาอ้อนวอน จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของฉินอันอันดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าจากฟู่สือถิง เธอเปิดหน้าจอให้อิ๋นอิ๋นดูและพูดตามใจเธอ “ฉันจะลองคุยกับเขาดูนะ ถ้าเขาไม่เห็นด้วย ฉันก็ทำอะไรไม่ได้” อิ๋นอิ๋นยิ้มและพยักหน้า ฉินอันอันรับโทรศัพท์และกดเปิดลำโพง เสียงของฟู่สือถิงดังขึ้นมาทันที “อันอัน
หลีเสี่ยวเถียนหายตัวไป! เธอหายตัวไป หลังจากออกจากบ้านเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา เฮ่อจุ่นจือดูกล้องวงจรปิดที่สำนักงานจราจรหลังจากที่เธอออกจากบ้าน ภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นว่าเธอขับรถไปที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมือง หลังจากที่เธอจอดรถในลานจอดรถชั้นล่าง เธอก็ไม่ได้ขับรถออกมาอีกเลย ดังนั้นเธอจะต้องเกิดเหตุในห้างสรรพสินค้า ในห้างสรรพสินค้ามีกล้องวงจรปิดนับไม่ถ้วน แต่ก็มีมุมอับมากมายเช่นกัน เฮ่อจุ่นจือรีบออกจากกองบังคับการตำรวจจราจรแล้วไปที่ดูกล้องวงจรปิดของห้างสรรพสินค้า สายของฉินอันอันดังขึ้น หลังจากสูดหายใจ เขาก็รับสาย “รถของเสี่ยวเถียนจอดอยู่ด้านนอกห้างสรรพสินค้า เธอหายตัวไปในห้างสรรพสินค้า” “อยู่ดี ๆ จะหายไปได้ยังไง?!” ฉินอันอันอ้าปากค้าง เธออยากพูดว่าเสี่ยวเถียนอาจจะถูกลักพาตัวไป แต่เธอไม่กล้าพูด เฮ่อจุ่นจือพูดน้ำเสียงอู้อี้ “เธอคงถูกลักพาตัวไปแล้ว! ก่อนหน้านี้ตอนที่คุณจ้างบอดี้การ์ด ผมคุยกับเธอแล้ว ผมบอกว่าจะจ้างบอดี้การ์ดมาคุ้มกันเธอด้วย เธอไม่ได้ทำงาน บางวันก็ไม่ออกจากบ้านเลย จึงไม่ต้องการบอดี้การ์ด ผมไม่น่าตามใจเธอเลย!” หลีเสี่ยวเถียนเป็นทายาทของห้างสรรพสินค้า
ถังเชี่ยนเป็นคนเลวทราม ใครที่ตกไปอยู่ในมือเธอไม่มีทางมีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน “...ฉันจะให้จื่ออี้ไปหาเซิ่งเป่ยi! ให้เซิ่งเป่ยไปตามหาถังเชี่ยน!” ไมค์ไม่มีทางปล่อยให้ฉินอันอันไปหาถังเชี่ยนได้ “ถังเชียนฝันอยากให้เธอเจอเรื่องไม่ดี ถ้าเธอไปหาหล่อนตอนนี้ ก็เท่ากับว่าสร้างปัญหาให้ตัวเองไม่ใช่เหรอ?” เสียงของไมค์ดังก้องไปทั่วทั้งคฤหาสน์ เสี่ยวหานและรุ่ยลารีบเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม่ อย่าออกไปนะ” เสี่ยวหานพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “แม่ต้องเชื่อฟังลุงไมค์กับพี่นะคะ อยู่บ้านและทำตัวดี ๆ นะคะ!” รุ่ยลาคว้าแขนเธอแล้วขอร้องเบา ๆ การปรากฏตัวของเด็กทั้งสองทำให้สติของฉินอันอันกลับมาสู่ตัวเธอทีละน้อย “แม่ไม่ไปแล้ว” เธอยอมอ่อนข้อ ลุกขึ้นจากโซฟา “แม่จะไปอาบน้ำก่อน” เธอวิตกกังวลอย่างยิ่งราวกับไฟกำลังลุกไหม้ เธอต้องการทำอะไรบางอย่าง แต่ร่างกายของเธอกลับรู้สึกหนักมาก เมื่อครู่ตอนที่เธอกระวนกระวายใจจะออกไปข้างนอก เด็กในท้องของเธอดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง และเตะเธอตลอดเวลา เธอกลับไปที่ห้องนอน ปิดประตู เอนตัวพิงประตูอย่างอ่อนแรง และสูดหายใจลึก เธอทำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ เหรอ?
ที่เมืองเอ วันนี้เป็นงานแต่งงานของหลญิงสาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างฉินอันอัน ไม่มีเจ้าบ่าวในงานแต่งงานของเธอ เนื่องจากเจ้าบ่าวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหกเดือนที่แล้ว ฟู่ซื่อถิงอยู่ในสภาพราวกับผัก แพทย์จึงสรุปว่าเขาอาจอยู่ไม่รอดในสิ้นปีนี้ คุณนายใหญ่ฟู่ที่หมดหวัง เธอจึงตัดสินใจจัดการเรื่องการแต่งงานให้ลูกชายก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ตระกูลฟู่เป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ในเมืองเอ แต่ไม่มีผู้หญิงมีชื่อเสียงหรือชาติตระกูลคนไหนยินดีจะแต่งงานกับชายที่กำลังจะตาย…หน้ากระจกแต่งตัว ฉินอันอันแต่งตัวเสร็จแล้ว ชุดแต่งงานสีขาวที่รับกับรูปร่างงดงามของเธอ ผิวกายที่ขาวราวกับหิมะ รวมกับการแต่งหน้าอย่างละเอียดอ่อนบนใบหน้าของเธอ ทำให้เธอดูสดใสและงดงามราวกับดอกกุหลาบแรกแย้มสีแดง แต่ในดวงตาเรียวรีนั้นดูมีความว้าวุ่นและไม่สบายใจปรากฏให้เห็นอยู่ เหลือเวลาอีกยี่สิบนาทีก่อนเริ่มพิธี เธอก็ปัดหน้าจอโทรศัพท์รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนที่เธอจะถูกบังคับให้แต่งงานกับฟู่ซื่อถิง เธอมีแฟนอยู่แล้ว แล้วบังเอิญแฟนของเธอคือฟู่เย่เฉิน เขาเป็นหลานชายของฟู่ซื่อถิง พวกเขาไม่ได้เปิดเผยความสัมพัน