พูดจบ เขาจับมือของกู้หนานเยียน ที่กำลังจะผลักเขาออก แล้วกดไว้ที่หัวเตียง กู้หนานเยียน "ก็เอาสิ ใครถอยคนนั้นคือไอ้ลูกหมา" ในที่สุด ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังประลองกันอยู่นั้น กู้หนานเยียนก็พบว่าลู่เป่ยเฉิงตั้งใจจะลงมือกับเธออย่างไม่ปราณี เมื่อสบโอกาสที่ลู่เป่ยเฉิงเผลอ เธอจึงคว้าของตั้งโชว์ที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงไ ทุบลงบนศีรษะของลู่เป่ยเฉิงอย่างไม่แยแส “กู้หนานเยียน” ตะโกนร้องเรียกกู้หนานเยียนอย่างโกรธ ลู่เป่ยเฉิงยกมือเช็ดไปที่หน้าผากของตัวเอง และพบว่าเลือดเต็มฝ่ามือเลย ขณะเดียวกัน กู้หนานเยียนโยนของตั้งโชว์ลงบนโต๊ะข้างเตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอปัดมือ แล้วเอ่ย "เคยเตือนคุณแล้ว" อยากนอนด้วยก็นอนไป คิดเล่นลูกไม้กับเธอ อย่าแม้แต่จะคิด ......ลู่เป่ยเฉิง—— “พี่สาม ไม่เบาเลยนะ! ถูกหนานเยียนใช้ความรุนแรงในบ้าน จนต้องเข้าโรงพยาบาลเลย” ในโรงพยาบาล ซูมู่ไป๋ผู้ซึ่งมาเป็นเพื่อนลู่เป่ยเฉิง เพื่อที่จะไปทำแผล เห็นหน้าผากที่มีผ้ากอซพันรอบของเขา ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ หนานเยียนยังคงเจ๋งกว่า ไม่เหมือนพวกเขา ตั้งแต่เล็กจนโตมีแต่โดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของลู่เป่ยเ
คุณย่าไม่เชื่อใจหลานของตัวเองเอามากขนาดไหนกัน! เมื่อเห็นเช่นนี้ กู้หนานเยียนก็ช่วยคีบกับข้าวให้ลู่เป่ยเฉิงด้วยว่า "ขอบคุณสำหรับเรื่องที่เป็นตัวแทนนะคะ คุณกินให้เยอะนะ ๆ " ลู่เป่ยเฉิงค้อนมาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ กู้หนานเยียนรีบยิ้มตาหยีใส่ เมื่อเรื่องการเป็นตัวแทนทางกฎหมายผ่านไปได้ด้วยดี อารมณ์ของเธอจึงดีเป็นพิเศษ ในเวลานี้ ฉินไห่อวิ๋นคิดจะตีเหล็กตอนยังร้อน จึงผสมโรงว่า "เป่ยเฉิง หนานเยียน กว่าพวกเธอทั้งสองจะกลับมาทีก็แสนยาก คืนนี้ก็นอนค้างที่นี่เลยละกันนะ" คุณย่ากล่าว "ฮวงจุ้ยของบ้านเราดีมาก คืนนี้พวกเธอก็นอนค้างที่นี่เสียเลย ไม่แน่ว่าหนานเยียนอาจตั้งท้องมีลูกได้สำเร็จ" คุณย่าพูดต่ออีก "เป่ยเฉิง ประเดี๋ยวหลานก็ขยันขันแข็งหน่อย ให้ท้องเดียวได้แฝดสองไปเลย" ......ลู่เป่ยเฉิง พูดไปพูดมา สุดท้ายคนทั้งบ้านก็พยายามจะยุให้พวกเขามีลูกเร็ว ๆ ดังนั้น เมื่อกลับเข้าห้องนอนที่อยู่ชั้นบน กู้หนานเยียนก็ถามทันที "มาปั้มลูกกันไหม?" ลู่เป่ยเฉิงเหลือบมองเธออย่างเฉยเมย "กู้หนานเยียน เธอคิดเรื่องอื่นเป็นบ้างไหม?" กู้หนานเยียนรู้สึกตลก "ถ้าฉันเห็นคุณแล้วไม่คิดเรื่องอย่างว่า ยังจะคิดเรื่
ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้ตรงดิ่งกลับมาบ้านหลังจากเลิกงานอย่างที่เขาคิด ไม่นาน ป้าเจียงก็เข้ามาพร้อมกับของว่างและน้ำชา ลู่เป่ยเฉิงเผลอถามถึงการใช้ชีวิตประจำวันของกู่หนานหยาน ป้าเจียงจึงเล่า "บางครั้ง คุณนายก็ทำงานล่วงเวลาบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก ปกติก็กลับบ้านเร็วอยู่นะคะ" "เวลาในตอนนี้ก็ยังไม่ดึกเท่าไร" ยังจะไม่ดึกอีกเหรอ? นี่ก็สามทุ่มกว่าแล้ว เธอมักจะบ่นว่าเขาไม่ค่อยกลับมา แต่ตัวเธอเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไรเลย ลู่เป่ยเฉิงคิดว่าการที่ตัวเองสัญญากับกู้หนานเยียนว่าจะกลับมาสัปดาห์ละครั้ง กู้หนานเยียนก็คงอยู่บ้าน เฝ้ารอเขากลับมาด้วยความกระตือรือร้น ที่ไหนได้ เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เขาจินตนาการไว้ ลู่เป่ยเฉิงยังคงยืนอยู่ตรงบานหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน ด้วยท่าทางล้วงสองมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง โดยไม่ได้เดินจากไป เขาอยากจะรู้นักว่า คืนนี้กู้หนานเยียนจะกลับถึงบ้านกี่โมง-- ในรถออดี้รุ่นเอสี่ชายหนุ่มจับพวงมาลัยด้วยมือสองข้าง เห็นกู้หนานเยียนพิงศีรษะไปที่หน้าต่างของรถ เขาถามขึ้น"ทนายกู้ คุณโอเคไหม?" กู้หนานเยียนขมวดคิ้ว พร้อมกับวางมือขวาบนหน้าอก "ฉันไม่เป็นไร" คืนนี้
“หวาน”กู้หนานเยียนเอ่ย “นี่คุณไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ แถมยังจะไม่มีลูกกับฉันอีก”ลู่เป่ยเฉิงอุ้มเธอขึ้นมาก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องน้ำ “มีสิ”กู้หนานเยียนยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ “ขอบคุณค่ะบอส”ก่อนหน้านี้เธอเรียกร้องอย่างเร่าร้อน แต่ทันทีที่ลู่เป่ยเฉิงเพิ่งจะวางเธอลงในอ่างอาบน้ำ ใครบางคนก็หลับไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทันทีเดิมทีลู่เป่ยเฉิงคิดจะพาเธอเข้านอนด้วยความประนีประนอมและใจดีสักหน่อยแต่สุดท้าย สีหน้าของเขามืดหม่นลงเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกว่าตัวเองโดนหลอกเข้าให้แล้ว——เช้าวันต่อมาเมื่อกู้หนานเยียนลืมตาตื่นขึ้นมา หัวของเธอก็ปวดจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เธอจำสิ่งที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนไม่ได้เลยพอตื่นมาลู่เป่ยเฉิงก็ไม่ได้อยู่กับเธอแล้วและหลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ข่าวของลู่เป่ยเฉิงอีกเลยฉินไห่อวิ๋นได้โทรมาถามถึงสถานการณ์ของพวกเขาทั้งสองคน กู้หนานเยียนจึงได้ส่งข้อความหาเขาไม่นานนัก เซี่ยเฉิงก็โทรกลับหาเธอ และบอกว่าลู่เป่ยเฉิงออกไปทำงานข้างนอกแล้วจนกระทั่งถึงคืนวันศุกร์ เพื่อนร่วมงานในสำนักงานกฎหมายต่างเลิกงานกันหมดแล้ว เหลือเพียงแค่กู้หนานเยียนเท่านั้นที่ยังทำงานล่วงเวลาอยู
เสียงร้องไห้ของเย่ฉู่ราวกับสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก แต่สีหน้าของลู่เป่ยเฉิงกลับไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง เขาเพียงแค่เอ่ยนิ่ง ๆ เท่านั้น “ผมจะให้เซี่ยเฉิงไปช่วยคุณจัดการก็แล้วกัน”เมื่อพูดจบ เขาก็วางสายโทรศัพท์ไปก่อนจะโทรหาเซี่ยเฉิงให้เขาไปที่นั่นตอนนี้ลมหายใจของกู้หนานเยียนสงบลงกว่าเมื่อครู่มากเธอนึกว่าคืนนี้ลู่เป่ยเฉิงก็คงไม่อยู่ค้างคืนที่นี่ต่ออีกหลังจากที่วางสาย ลู่เป่ยเฉิงก็หันหน้ากลับมามองใครบางคนแวบหนึ่ง “ถ้าตื่นแล้วก็ลงรถซะ ผมไม่อุ้มคุณลงหรอกนะ”แต่กู้หนานเยียนไม่ยอมลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อเห็นดังนั้น ลู่เป่ยเฉิงจึงปลดเข็มขัดนิรภัยตัวเอง ก่อนจะเปิดประตูรถเดินเข้าไปในบ้านทันที โดยไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อยเมื่อเห็นว่าลู่เป่ยเฉิงไปแล้วจริง ๆ กู้หนานเยียนก็ปลดเข็มขัดนิรภัย ก่อนจะรีบเปิดประตูรถตามไปหลังจากที่เธอตามประชิดถึงตัวเขาแล้ว เธอจึงเอามือทั้งสองข้างดึงแขนของเขาไว้ลู่เป่ยเฉิงหลุบตาลงมองกู้หนานเยียนด้วยใบหน้าที่เย็นชา แต่กู้หนานเยียนก็ยังคงมีสีหน้าที่ดีคงเส้นคงวา ไม่เปลี่ยนแปลงแตกต่างจากสภาพของเย่ฉู่ที่ร้องไห้มาหนักในก่อนหน้านี้เป็นอย่างมากเมื่อดวงตาทั้งสองคู่ปร
สิ่งที่เราทำได้ มีเพียงแค่การพิจารณาปัญหาด้วยเหตุผล และมองในส่วนของผลประโยชน์ที่เราจะต้องได้รับ แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคุณ ที่อยู่กันมาหลายปีแล้ว”คำพูดของกู้หนานเยียนทำเอาลู่เป่ยเฉิงต้องเงยหน้าขึ้นมามองเธอทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังพูดให้เขาฟังอยู่เลยล่ะ เหมือนเธอกำลังแสดงอารมณ์ของเธอออกมาจากใบหน้าด้านข้างอย่างไรอย่างนั้นเป็นการบอกเขาว่า ในการแต่งงานของพวกเขาทั้งสองคนนี้ เธอพยายามและทุ่มเทจนถึงที่สุดแล้ว ถึงตอนนั้นถ้าเขายังอยากที่จะหย่า ก็อย่ามาโทษเธอแล้วกัน ถ้าเธอจะทำอะไรที่ไม่เกรงใจและไม่ไว้หน้าเขาแล้ว“ทนายกู้ ฉันเข้าใจเหตุผลทุกอย่าง แต่ฉันก็รับไม่ได้อยู่ดี! เขาหย่าไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมหันมาอีกทีก็ไปแต่งงานกับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้แล้ว แล้วฉันล่ะ? ช่วงเวลาวัยสาวหลายสิบปีที่ผ่านมา ฉันได้ทุ่มเทเพื่อครอบครัวไปหมดแล้ว ส่วนเขาได้ทุ่มเทอะไรบ้างไหม?”“คุณคิดว่าแบบฉันยังพอจะหาหนุ่ม ๆ ได้บ้างไหมล่ะ”กู้หนานเยียนเอ่ย “ได้สิคะ! เหมือนคำกล่าวที่ว่า สาวปีสามถืออิฐทอง แต่สาวสามสิบถือทั้งแผ่นดิน พี่เฉียวเองก็หาหนุ่ม ๆ ได้เหมือนกันค่ะ!”ผู้หญิงที่อยู่อีกฝั่งของปลายสายส
ขณะเดียวกัน ณ ที่บ้านหลังจากที่กู้หนานเยียนทำงานล่วงเวลา และกลับบ้านมาแล้ว ป้าเจียงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานกับเธอด้วยความดีอกดีใจทันที “คุณนายคะ คุณชายเพิ่งโทรกลับมาบอกว่าวันนี้จะกลับบ้านค่ะ”ป้าเจียงรู้ว่าเขาไม่อยากจะโทรบอกกับกู้หนานเยียนโดยตรง เขาจึงโทรเข้ามาในโทรศัพท์บ้านแทนกู้หนานเยียนยื่นกระเป๋าให้กับป้าเจียง ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “ได้สิ งั้นเดี๋ยวฉันขอไปเก็บของก่อนนะคะ”เธอพรมน้ำหอมบนตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า และใส่ชุดนอนตัวใหม่ที่ซื้อมารอเขา เธอรอแล้วรอเล่า แต่ทว่ารอจนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นว่าลู่เป่ยเฉิงจะกลับมานี่มันก็จะห้าทุ่มแล้ว ลู่เป่ยเฉิงยังไม่กลับมาเลย กู้หนานเยียนเองก็ไม่มีอารมณ์จะทำงานแล้ว เธอโยนเอกสารคดีความในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเซี่ยเฉิง “เซี่ยเฉิง เกิดอะไรขึ้นกับลู่เป่ยเฉิงน่ะ? ไม่ใช่ว่าวันนี้เขาจะกลับมาเหรอ?”กู้หนานเยียนไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากต้องโทรหาเซี่ยเฉิงเพราะหลังจาก ‘ครั้งนั้น’ ลู่เป่ยเฉิงก็ไม่รับสายเธออีกเลยเวลามีเรื่องอะไรก็ต้องติดต่อผ่านเซี่ยเฉิงที่เป็นคนกลางกู้หนานเยียนอยากจะหัวเราะเยาะให้กับสภาพของสามีภรรยาที่ต้องมาอย
เมื่อกู้หนานเยียนได้เห็นเช็คธนาคารที่ฉินไห่อวิ๋นมอบให้ เธอไม่เข้าใจ และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “นี่มันหมายความว่ายังไงคะแม่?”ฉินไห่อวิ๋นเอ่ย “เย่ฉู่เกาะติดเป่ยเฉิงขนาดนี้ ก็เป็นเพราะอยากจะปอกลอกน่ะสิ ถ้ามันต้องการเงิน เราก็เอาเงินไปให้มันซะก็สิ้นเรื่อง”“หนานเยียน เธอเอาเช็คธนาคารใบนี้ไปให้ยัยนั่นซะ ให้มันพาแม่และน้องชายมันออกไปจากเมือง A อย่าให้มันได้ฝันว่าจะได้เงินแม้แต่สตางค์เดียวจากเป่ยเฉิง”เมื่อได้เห็นเช็คธนาคารจำนวน 100 ล้านของฉินไห่อวิ๋นแล้ว กู้หนานเยียนก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกปกติแล้วฉินไห่อวิ๋นเป็นคนที่ฉลาดมาก แต่ทำไมตอนนี้เธอถึงได้ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้ได้!“แม่คะถ้าจะให้หนูไปหาเย่ฉู่แบบนี้ ก็เหมือนผลักตัวเองเข้าไปในกองไฟเลยนะคะ เธอจะไม่เอาเงินแน่นอน และก็คงจะไม่ออกไปจากเมือง A ด้วยค่ะ”ถ้าเธอเอาเช็คธนาคารพวกนี้ไปหาเย่ฉู่ขึ้นมาจริง ๆ นี่มันรนหาที่ตายชัด ๆ เลย แถมยังจะทำให้ตัวเองได้หย่ากับลู่เป่ยเฉิงไวกว่ากำหนดอีกเธอยังไม่ทันได้ท้องเลยด้วยซ้ำ!ฉินไห่อวิ๋นกลับเอ่ย “หนานเยียน ถ้าเธอฟังฉันนะ เรื่องนี้เธอจะไม่พลาดแน่”“เธอเอาเช็คธนาคารนี้ไปให้เย่ฉู่ก่อน แล้วเดี๋