“ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้!” ในใจของฟู่เจิงเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก รีบตอบกลับ“อย่าเพิ่งให้อาเหลียงรู้เรื่องนะครับ”“ฉันเข้าใจ”ก่อนออกไป ฟู่เจิงก็กลับไปที่ห้องนอนหลักอีกครั้ง “อาเหลียง ที่บริษัทยังมีงานบางส่วนที่ต้องส่งมอบ ฉันต้องไปสักเดี๋ยว”“ไปเถอะ ที่บ้านมีป้าหวังอยู่เป็นเพื่อนฉันทั้งคน” เวินเหลียงไม่ได้คิดอะไรมาก …ฟู่เจิงรีบไปโรงพยาบาล ไฟห้องฉุกเฉินยังสว่างอยู่คุณหญิงและป้าแม่บ้านนั่งรออยู่บนเก้าอี้ด้านนอก“คุณย่า!” ฟู่เจิงรีบเดินไปตรงหน้าคุณหญิง เขาเป็นกังวลและร้อนใจสุด ๆ “เกิดอะไรขึ้นครับ? ทำไมจู่ ๆ คุณปู่ถึง...”คุณหญิงถอนหายใจด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ไม่ยอมตอบแต่ป้าแม่บ้านมองฟู่เจิงทีหนึ่ง “วันนี้ตอนเช้าคุณฉู่มาที่บ้าน ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับคุณท่าน...จากนั้นคุณท่านก็มารู้เรื่องบริษัทอีก แล้วจู่ ๆ ก็...”ฟู่เจิงเม้มปาก นัยน์ตาประกายความดุเดือดออกมาสายหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเดินไปที่ปากทางหนีไฟ ต่อสายโทรออก “เช้าวันนี้ฉู่ซืออี๋ปรากฏตัวไปที่บ้านใหญ่ตระกูลฟู่ รีบไปตามหาตัวเธอเดี๋ยวนี้!”“ครับ”หลังวางสาย ฟู่เจิงก็กลับไปยังพื้นที่นั่งรอ เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
หลังเขาวางสาย ก็หมุนตัวไป เห็นฟู่เจิงนั่งเฉย ๆ อยู่บนเก้าอี้คนเดียว นัยน์ตาทั้งสองดูเหม่อลอย มองไปข้างหน้าตาไม่กะพริบ ราวกับป้ายหินอย่างนั้นฟู่เยว่เดินไป ตบที่ไหล่เขาเบา ๆ “อาเจิง”ฟู่เจิงได้สติกลับมา มองนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของฟู่เยว่ แล้วเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งน้ำเสียงแหบพร่า “พี่ใหญ่ ผมไม่เป็นไร”แค่ในเวลาเพียงชั่วครู่ยังไม่กลับมากระปรี้กระเปร่าคุณท่านสำหรับฟู่เจิงแล้วนั้น ก็เหมือนเวินหย่งคังสำหรับเวินเหลียงเขาไม่รู้ว่าแม่ของตัวเองเป็นใคร และจำรูปร่างหน้าตาของพ่อตัวเองไม่ได้แล้วนับตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้ ก็อยู่ข้างกายคุณท่านมาตลอดคุณท่านและคุณหญิงเป็นคนเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ แม้จะห่างกันหนึ่งรุ่น ทว่ายิ่งเหมือนพ่อแม่ของเขา“ทางอาเหลียง จะบอกเธอไหม?”“ตอนนี้ปิดไว้ก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้อาการครรภ์ของเธอยังไม่คงที่ ผมกลัวว่าเธอจะรับไม่ได้” สายตาฟู่เจิงมองไปไกลแม้เขาจะรู้ดีว่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คงปิดไปได้ไม่นาน“ก็ดี”“พี่ใหญ่ พี่รอง มีนักข่าวมา” ฟู่เซิงชี้ไปที่ที่ไม่ไกล“เรียกรปภ. มาขวางพวกเขาเอาไว้ก่อน เดี๋ยวฉันจะเรียกบอดีการ์ดมา” ฟู่เยว่เอ่ยวันนี้ประธานกรรมการใหญ่
หัวใจของเวินเหลียงหยุดเต้นไปในฉับพลันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เริ่มเต้นตึกตัก ๆ ขึ้นมาไม่หยุดคงจะเป็นการกลั่นแกล้งของใครบางคนใช่ไหม?แต่ในช่วงเวลานี้ แฟลตฟอร์มต่าง ๆ ก็ดันทยอยดันข่าวนี้ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เธอสุ่มกดเข้าไปอันหนึ่ง ล้วนเป็นรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้นฟู่เจิงที่อยู่ในข่าว ยังสวมชุดเดียวกับตอนที่ออกไปด้วยฉะนั้น เขาไปโรงพยาบาลจริง ๆคุณปู่ คุณปู่จากไปแล้ว?!คุณปู่ที่รักและเอ็นดูเธอจากไปแล้ว!ข่าวนี้มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หัวใจของเวินเหลียงราวกับถูกหมัดหนักต่อยเข้ามาอย่างจัง มิหนำซ้ำยังปล่อยหมัดหนักมาต่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า จมูกเธอฟุดฟิด ขอบตาพลันแดงระเรื่อขึ้นมา น้ำตาคลอเส้นสายตาเลือนรางทั้ง ๆ ที่เมื่อสองสามวันก่อนตอนที่คุณปู่มาหาเธอ สุขภาพยังดีอยู่แท้ ๆ!ทั้ง ๆ ที่สองสามวันก่อนคุณปู่ยังพูดอยู่เลยว่าจะต้องอยู่รอลูกของเธอลืมตาขึ้นมาดูโลก และรออุ้มเหลนอย่างแน่นอน! ทำไมจู่ ๆ ถึง...ไม่ ไม่สิ ยังไม่ทันได้เห็นลูกของเธอลืมตาขึ้นมาดูโลกเลย คุณปู่จะตัดใจจากไปได้ยังไงกัน!เวินเหลียงซี๊ดจมูก ก่อนจะรีบลุกขึ้นนั่งจากเตียง แล้วตะโกนว่า “ป้าหวังคะ เรียกคนขับรถมาหน่อย ฉันจ
ในตอนนี้ศพของคุณท่านก็ถูกส่งไปยังหอจัดพิธีงานศพแล้ว ภายใต้การจัดแจงของฟู่เยว่ จัดการแต่งหน้าศพเป็นครั้งสุดท้าย และใส่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้ก่อนตายในห้องโถงตั้งศพเองก็กำลังอยู่ในระหว่างการตกแต่งขณะใกล้จะถึงหอจัดพิธีงานศพ ฟู่เจิงก็คว้ามือของเวินเหลียงมาจับเอาไว้ แล้วกำชับว่า “พอถึงแล้ว เธอต้องอยู่แค่ข้างกายคุณปู่นะ เรื่องอื่นอะไรไม่ต้องทำทั้งนั้น เข้าใจไหม?”“อืม”ซูชิงอวิ๋นสวมชุดสีขาวมาเรียบร้อยแล้ว รออยู่ตรงหน้าปากประตูหอจัดพิธีงานศพ เมื่อเห็นว่าฟู่เจิงและเวินเหลียงมา ก็ส่งชุดไว้ทุกข์สีขาวให้สองชุดหลังสวมชุดไว้ทุกข์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูชิงอวิ๋นก็เป็นฝ่ายเสนอมาเข็นวีลแชร์เอง แล้วพูดว่า “น้องรอง เธอไปจัดการเรื่องงานเถอะ เดี๋ยวฉันจะคอยดูแลอาเหลียงเอง”“รบกวนพี่สะใภ้ใหญ่แล้วนะครับ” ฟู่เจิงค้อมตัวลงแล้วกำชับกับเวินเหลียงอีกทีว่า “ถ้ารู้สึกไม่สบายตัวก็ไม่ต้องฝืน ต้องรีบบอกฉันนะ ฉันไปจัดการเรื่องงานก่อน”“โอเค”ฟู่เจิงรีบสาวเท้าก้าวออกไป ซูชิงอวิ๋นเข็นเวินเหลียงไปที่ห้องพัก เห็นขอบตาของเวินเหลียงแดง เธอก็พูดปลอบว่า “อาเหลียง ไม่ต้องทุกข์ใจไปเลยนะ คนเราต้องเจอเรื่องแบบนี้กันอยู่แล้ว ค
ขอบตาของเวินเหลียงแดงก่ำขึ้นมาอีกแล้ว “หนูไม่เคยโทษคุณปู่เลยค่ะ...”เธอรู้ว่าคุณปู่ก็มีความยากลำบากของตัวเองในตอนแรกที่ฟู่เจิงเข้ารับตำแหน่งประธานบริหารของกรุ๊ป อายุยังน้อยเกินไป คณะกรรมการบริษัทหลายคนไม่ยอมรับเขา เกิดการปะทะกันขึ้นมาต่าง ๆ นานาประธานกรรมการบางคนเอะอะ ๆ ก็ไปร้องเรียนกับคุณท่านหลังคุณท่านสอดมือครั้งแรก ฟู่เจิงขยายการดำเนินงานในกรุ๊ปได้ยากลำบากเป็นอย่างมาก เผชิญกับอุปสรรคซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อเหล่าประธานกรรมการเห็นว่าการร้องเรียนได้ผล สองสามวันทีก็มาหาคุณท่านอีกแล้วนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคุณท่านก็ไม่สอดมืออีกเขาเองก็เพิ่งได้รู้ในตอนนั้น ในตอนที่ฟู่เจิงเป็นประธานบริหารกรุ๊ปแล้ว ฟู่เจิงไม่ใช่หลานที่เขาจะถ่ายทอดคำสอนสุ่มสี่สุ่มห้าได้ฟู่เจิงต้องยืนหยัดอยู่ในบริษัทให้ได้ ต้องสร้างความน่าเกรงขามให้เพียงพอ เขาเองก็ต้องปกป้องฟู่เจิง สนับสนุนเขาอย่างแน่วแน่ และไม่ขัดขวางเขาเพราะฟังคำพูดของพวกประธานกรรมการ ไม่อย่างนั้นเหล่าประธานกรรมการและบรรดาพนักงานไม่เห็นฟู่เจิงที่อยู่ในตำแหน่งประธานบริหารอยู่ในสายตาแน่นอนและเมื่อเรื่องราวเป็นไปเช่นนี้ คุณท่านจึงทำได้เพียงตอบโต้เล
เวินเหลียงมองสองที สุดท้ายก็ยังอ้าปาก แล้วงับหมูสามชั้นเข้าไปในปากเชฟมีฝีมือ แม้จะเป็นหมูสามชั้นแต่ก็ไม่เลี่ยนเลยสักนิด เมื่อครู่เป็นเพราะความเสียใจเวินเหลียงจึงไม่รู้สึกอยากอาหาร แต่ก็เพื่อลูกจึงกินไปสองคำ ไม่นึกว่าพอกินแล้วก็จะกินไปเกินครึ่งเลยทั้ง ๆ ที่กินอิ่มแล้ว แต่ตอนนี้กลับอดไม่ได้ที่จะกินอาหารที่ฟู่เจิงคีบมาให้หลังตั้งท้อง นอกจากอาการแพ้ท้องในช่วงก่อนหน้านี้แล้วนั้น ช่วงนี้ความอยากอาหารเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อฟู่เจิงเห็นว่าเวินเหลียงชอบ ก็คีบมาให้เธออีกสองชิ้นหลังเวินเหลียงกินไปสามชิ้น เห็นฟู่เจิงยังคีบมาอีก เธอก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “ฉันกินอิ่มแล้วจริง ๆ คุณกินไปเถอะ”“ไม่กินแล้วเหรอ?”“ไม่กินแล้ว”ฟู่เจิงวางตะเกียบลง จากนั้นก็อุ้มเวินเหลียงขึ้นมาจากวีลแชร์ ก่อนจะวางเธอไปบนโซฟา แล้วหยิบผ้าห่มมาคลุมบนตัวเธอ “งั้นก็นอนสักเดี๋ยวสิ”เวินเหลียงยันตัวขึ้นอย่างจนใจ พลางมองฟู่เจิง “สองวันนี้คุณก็ไม่ได้นอนเลย คุณมานอนด้วยกันสิ”เมื่อได้ยินว่าเวินเหลียงเป็นห่วงตน นัยน์ตาของฟู่เจิงก็เปล่งประกาย เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “โอเค”หลังกินข้าวกล่องเสร็จ ฟู่เจิงก็โยนขยะทิ้งไป แล้วนอ
“คุณผู้หญิง เรากลับไปกันเถอะค่ะ” ในตอนที่ป้าหวังหยิบผ้าขนหนูและกล่องเก็บอุณหภูมิออกมาจากด้านใน อู๋หลิงก็ออกไปแล้วเมื่อได้เห็นสีหน้าทั้งตกตะลึงและทั้งเจ็บปวดของเวินเหลียง อู๋หลิงก็เบิกบานใจเป็นอย่างมาก ครั้นบรรลุเป้าหมายแล้วเธอก็จากไปอย่างพอใจทว่าเวินเหลียงกลับกำหมัดแน่น นั่งอยู่ที่เดิมเงียบไม่พูดไม่จาเห็นเวินเหลียงไม่ตอบสนอง ป้าหวังก็ตะโกนเรียกเสียงหนึ่ง “คุณผู้หญิงคะ?”เวินเหลียงได้สติกลับมา เธอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ถึงจะพยักหน้า “อืม กลับไปก่อน”ป้าหวังมองสีหน้าของเวินเหลียงทีหนึ่ง รู้สึกแค่ว่าคุณผู้หญิงราวกับจะแตกต่างไปจากเมื่อครู่เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ ป้าหวังจะประคองเวินหลียงขึ้นไปข้างบน แต่เวินเหลียงปฏิเสธ เธอนั่งลงบนโซฟาแล้วเอ่ยว่า “ฉันจะรอฟู่เจิงกลับมา”ป้าหวังพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วรีบไปทำงานของตัวเองบ่ายสามกว่า ๆ รถยนต์สีดำก็แล่นเข้ามาในลานของคฤหาสน์ฟู่เจิงดับรถ พิงอยู่บนพนักพิงเบาะ พลางยกมือที่สวมนาฬิกาเหล็กขึ้นมาบีบหว่างคิ้ว ก่อนจะชักกุญแจรถออกแล้วเปิดประตูลงจากรถไปเมื่อเขาเยื้องย่างขายาว ๆ ทั้งสองเข้ามาในห้องรับแขกอย่างมั่นคง ก็เห็นเวินเหลียงนอนตะแคงอยู
เธอหลับตา สีหน้าเคร่งขรึม พลางเช็ดน้ำตาบนหน้าลวก ๆ พร้อมทั้งมองหน้าฟู่เจิงแล้วเอ่ยว่า “ฉันจะไปเจอฉู่ซืออี๋”“อย่าหาเรื่องสิ ตอนนี้เธอต้องพักผ่อนเยอะ ๆ นะ!”เวินเหลียงฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เธอนั่งตัวตรง “ฉันจะไปเจอฉู่ซืออี๋ ฉันจะไปถามเธอให้กระจ่าง! ฉันจะไปแก้แค้นให้คุณปู่!”เห็นฟู่เจิงไม่สะทกสะท้าน เวินเหลียงจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก “คุณไม่ให้ฉันเจอ ฉันก็จะไปเจอด้วยตัวเอง!”“อาเหลียง!”ฟู่เจิงเดินมาตรงหน้าเวินเหลียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นแขนไปขวางเธอเอาไว้ “ตอนนี้ฉู่ซืออี๋ไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล เธอหนีออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่สองสามวันก่อน ไม่มีเบาะแสเลย ฉันส่งคนไปตามหาตัวเธอแล้ว เธอกลับขึ้นไปพักชั้นบนก่อนเถอะ รอหาตัวฉู่ซืออี๋เจอแล้ว ฉันจะบอกเธอทันที!”เวินเหลียงราวกับได้ยินเรื่องตลกอะไรบางอย่าง เธอขำอย่างเย็นชาเสียงหนึ่งพลางมองฟู่เจิง “คุณจะตัดใจยอมให้เธอไปจากคุณได้เหรอ? จนถึงตอนนี้คุณก็ยังปกป้องเธออยู่? ทำไม? กลัวว่าฉันจะฆ่าเธอหรือไง?”เดิมทีเวินเหลียงก็ไม่เชื่อคำพูดของฟู่เจิงอยู่แล้ว เธอจงใจเดินออกไปข้างนอกฟู่เจิงกอดเวินเหลียงเอาไว้ “เธอใจเย็นก่อนสิ!”เวินเหลียงพยายามดิ้น