อาการป่วยครั้งใหญ่ทำให้ฉันตั้งท้องถึง 10 เดือน และพ่อของเด็กในท้องก็คืองูตัวหนึ่ง นี่คือเรื่องจริงของร่างทรงหญิงในศาสนาพื้นบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน
ดูเพิ่มเติมตอนนี้ฉันกับหลิวหลงถิงมากันแล้ว ถ้าจะพูดว่าไม่ช่วยชีวิตคน พวกเราก็พูดไม่ออก แต่ว่าถ้าจะช่วยชีวิตคน พวกเราก็ต้องการคำชี้แนะและตอนนี้อาการบาดเจ็บของหลิวหลงถิงก็ยังไม่หายดี ถ้าเกิดว่ามีการต่อสู้ขึ้นมา ตอนนี้พวกเราก็เป็นฝ่ายที่อ่อนกว่าอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะชนะได้เลยผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าหลิวหลงถิงกำลังลังเลใจอยู่ ก็ไม่สนใจว่าพวกเราจะลำบากแค่ไหน พูดอยู่ตลอดเวลาว่าเห็นพวกเราร่างทรงองค์เทพเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตคอยช่วยเหลือและบรรเทาความทุกข์ แต่ตอนนี้ ลูกชายเธอมีบางอย่างผิดปกติ แต่พวกเรากลับไม่ช่วย เป็นพระโพธิสัตว์อะไรกัน ถ้าหากลูกชายของเธอตาย ก็บอกว่าให้ทุกคนเลิกเชื่อพวกเราได้แล้ว ทั้งยังไม่ต้องไปหาพวกเราให้ดูดวงอีกแล้ว และเมื่อพวกเธอพูดสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็เริ่มขอร้องฉันและหลิวหลงถิงอีกครั้ง บอกว่าเพียงแค่พวกเราช่วยชีวิตลูกชายของเธอ พวกเราต้องการสิ่งใดก็จะให้สิ่งนั้นมา แม้ว่าจะเป็นชีวิตชราของเธอก็ตาม เธอจะให้มันกับเราด้วยในตอนนี้ฉันกับหลิวหลงถิงลำบากใจมาก ๆ หลิวหลงถิงมองผู้หญิงคนนั้น และก็มองมาที่ฉัน แล้วก็มองลูกในท้องของฉันอีก ร่างทรงองค์เทพมีกฏเกณฑ์ รับงานแล้วก็จำเป็นต้องการจัดการ
เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้ยินย่าพูดแบบนี้ ก็เคลื่อนหัวเข่ามาทางเท้าของฉัน แล้วคุกเข้าลงไปทันที เธอทั้งกอดขาทั้งร้องไห้ไปด้วย พร้อมพูดกับฉันว่า “แม่หมอ ได้โปรดช่วยลูกชายของฉันด้วย ตอนนี้เขาถูกสิ่งสกปรกในแม่น้ำพัวพันเข้าแล้ว และก็กำลังจะตายแล้ว ขอร้องคุณนะ ช่วยเขาด้วย”ฉันรีบพยุงผู้หญิงคนนี้ลุกขึ้นมา บอกให้เธอนั่งพูดเรื่องราวทั้งหมดพูดกับฉันอีกรอบหนึ่ง“เป็นเรื่องเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ลูกชายของฉันไปเรียนที่วิทยาลัยที่ฮาร์บิน เขากลับมาบ้านในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน และไปอาบน้ำที่แม่น้ำซิวสุ่ยตรงข้ามบ้านของฉัน หลังจากอาบเสร็จแล้ว เขาก็เดินกลับมาบ้าน ไม่นานลูกชายฉันก็ไม่มีสติ บอกว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งรอเขาอยู่ในน้ำ อีกทั้งยังบอกว่าเขาได้ตกลงกับหญิงสาวคนนั้นเรียบร้อยแล้วว่าในเดือนมีนาคมปีนี้ เขาจะไปแต่งงานกับหญิงสาวที่อยู่ในน้ำ ในตอนนั้นพวกเราก็ไม่คิดเป็นเรื่องจริงจัง แต่ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ลูกชายฉันกลับหนีออกจากมหาวิทยาลัย บอกว่ามีเกี้ยวรับเจ้าสาวรอเขาอยู่ที่ริมแม่น้ำ ถ้าหากภายในสามวันยังไม่ยอมขึ้นเกี้ยว หญิงสาวคนนั้นจะโกรธ จะให้น้ำท่วมหมู่บ้านของพวกเรา ตอนนี้ลูกชายของฉันถูกพวกเรามัดไว้เ
เมื่อเทพเเห่งขุนเขาปรากฏตัวขึ้น นั่นก็ทำให้ฉันตกใจกลัวจนตัวสั่น ฉันไม่รู้ว่าเขาตามหาฉันเจอได้อย่างไร แต่ว่าเขามาแล้ว ก็คงไม่น่าจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นกับฉันอย่างแน่นอน!“แล้วยังไงล่ะ?” ฉันลุกขึ้นเคลื่อนตัวเดินลงจากเตียงไปด้วย ฉันพูดกับเทพแห่งขุนเขาอย่างระมัดระวังไปด้วยพร้อม ๆ กัน “เทพเแห่งขุนเขา เรื่องราวเก่า ๆ ของฉันกับคุณก็ได้จัดกาารจนกระจ่างไปแล้ว ทำไมคุณตามฉันแบบนี้ คุณไม่มีจิตสำนึกหรือไง”เมื่อเห็นว่าฉันอยากจะวิ่งหนี เทพแห่งขุนเขาก็คว้าข้อมือฉันเอาไว้ ใช้แรงดึงฉันเข้ามาที่ตัวเขาอย่างแรง ยิ้มอย่างมีเลศนัยมาที่ฉัน “ความดีคืออะไร? อย่างงั้น เจ้าก็เอาความดีของเจ้ามาให้ข้ากินดูสิ?!”ในขณะที่เทพแห่งขุนเขาพูดอยู่ก็ยิ่งใช้แรงบีบที่ข้อมือของฉัน ไม่ให้ฉันขยับตัวเลยสักนิดเดียว ราวกับว่าตั้งใจจะแกล้งฉันเล่น เขาแกว่งข้อมือของฉันไปมา พอเห็นว่าสีหน้าของฉันซีดเผือด ราวกับเห็นเขาเป็นผีอย่างไรอย่างนั้น ก็ยิ้มเยาะออกมาอย่างดัง เมื่อมองดูร้อยยิ้มราวกับเสียสติของเทพแห่งขุนเขา ฉันเกียจตัวเองที่ไม่มีความสามารถขนาดนี้ ถ้าหากว่ามีฉันคงอัดเขาให้ลืมพ่อลืมแม่ไปเลย“คุณรีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะบอกอะไรคุณใ
ถึงอย่างไรฉันก็ตั้งครรภ์ใกล้ครบสี่เดือนแล้ว ผ่านไปหลายวันขนาดนี้ ในท้องของฉันก็ยังเหมือนกับตอนแรกอย่างไงอย่างนั้นเลย ไม่ได้ใหญ่และก็ไม่ได้เล็ก เมื่อก่อนคิดว่าถึงอย่างไรก็เป็นหลิวหลงถิงคอยดูแลลูก ฉันก็ขี้เกียจสนใจ แต่ตอนนี้ถึงอย่างไรเด็กคนนี้ก็อยู่ในท้องของฉันมาสี่เดือนแล้ว อย่างไรก็ต้องมีความผูกผันธ์กันทั้งนั้น ดังนั้นฉันเลยอยากดูว่าพวกเขาเติบโตจนเป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว ต่อให้ในท้องเป็นงู ฉันก็ไม่หวั่นแต่ว่าหลิวหลงถิงได้ยินว่าฉันอยากไปตรวจครรภ์ ขมวดคิ้วเป็นปมขึ้นมาทันที แม้แต่น้ำเสียงก็นิ่งขึ้น ถามฉันว่าทำไมจู่ ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาได้?ฉันก็เลยนำเรื่องเมื่อครู่นี้ที่วิญญาณไม้กวาดพูดออกมา เล่าให้หลิวหลงถิงฟัง หวังว่าหลิวหลงถิงจะสามารถบอกฉันได้ว่ามันหมายถึงอะไรแต่ว่าเมื่อหลิวหลงถิงได้ยินสิ่งที่ฉันพูดกับเขาแล้ว ใบหน้าที่เย็นลงเริ่มเปลี่ยนเป็นรำคาญเล็กน้อย เขาบอกฉันว่าแค่วิญญาณเล็ก ๆ นี้ ไม่รู้จักแม้แต่เฟิ้งฉีเทียนเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กในท้องของฉันคืออะไร ที่ตั้งครรภ์อยู่ก็คือลูกหลานของเขารุ่นต่อ ๆ ไป บอกฉันว่าอย่าคิดมาก รอหลังจากหกเดือนลูกออกมา พวกเราจะส่งลูกไปที่ภูเขาฉางป๋
สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูดทำให้ฉันสับสนเล็กน้อยขึ้นมาทันที ตอนนี้ฉันท้องอยู่ และเต็มไปด้วยงูตัวเล็ก ๆ เธอพูดในท้องของฉันมีของชิ้นใหญ่อย่างไรกัน?ผู้หญิงคนนั้นอยากรู้อยากเห็นมาก ๆ กับท้องของฉัน เธอทิ้งไม้กวาดทั้งสองอันที่อยู่ในมือ ฟุบลงมาที่ตำแหน่งของท้องฉัน ก็ดึงผ้าห่มที่ห่มท้องออกมา เธอกำลังจะเตรียมจะเอื้อมมือมาฉีกท้องของฉัน ในขณะนั้นเองเฟิ้งฉีเทียนก็ลุกขึ้น คว้าตัวผู้หญิงที่กำลังนอนทับฉันอยู่ หิ้วคอเสื้อกี่เพ้าของเธอขึ้นมาแล้วยกขึ้นไปที่เตียง พลันโยนผู้หญิงคนนั้นลงกับพื้นทันที “ข้าก็คิดว่ามันคืออะไร ที่แท้ก็เป็นแค่เพียงไม้กวาดที่ฝึกฝนจนสำเร็จเท่านั้นเอง”พูดไปก็โยนผู้หญิงคนนั้นลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง เขาควบคุมให้ฉันลุกขึ้นมาจากเตียง ไปยืนที่ข้างหน้าของผู้หญิงคนนี้ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยมีสติปัญญา หลังจากที่เฟิ้งฉีเทียนโยนเธอลงไปที่พื้น ผู้หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นจากพื้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม และคลานเข้ามาหาฉัน ฝ่ามือเธอทำท่าทางคว้ามาหาท้องของฉัน ปากก็เอาแต่โวยวายว่าของชิ้นใหญ่ ของชิ้นใหญ่...ตอนแรกฉันรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่น่ากลัว แต่แค่เธอตะโกนแบบนี้ การกระทำที่หมกมุ่นอยู่กับท้องของฉ
เมื่อพูดถึงเรื่องสำเร็จพลัง จู่ ๆ ก็ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่หลังจากก่อตั้งประเทศขึ้นมา สัตว์ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกจนสำเร็จพลัง คำกล่าวเช่นนี้คือห้ามไม่ให้สัตว์บางชนิดฝึกฝนจริง ๆ และในขณะนั้นพลังงานทุกอย่างที่ออกมาจากป่าก็น้อยลง ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างในโลกนี้เปรียบเสมือนสายโซ่ชีวภาพ เทพและภูติผีมีพลังมากกว่ามนุษย์ แต่มนุษย์ยังสามารถกำหนดชีวิต และความตายของเทพภูตต่าง ๆ ได้เช่นกันแต่ฉันมองไปรอบ ๆ ร้านและห้องนอนชั้นด้านบน นอกจากของโบราณและเฟอร์นิเจอร์ ไม่ต้องพูดถึงสัตว์สำเร็จพลังอะไรหรอก แม้แต่รูหนูก็ไม่เห็นแม้แต่รูเดียวหวังหงได้ยินที่เฟิ้งฉีเทียนพูด ก็กวาดตามองไปรอบ ๆ ตามฉัน แล้วพูดกับเฟิ้งฉีเทียนว่า “ปกติแล้วเพื่อนของฉันก็ไม่ค่อยอยู่ในร้านนี้ ในร้านไม่มีแม้แต่แมลงสาบด้วยซ้ำ ทำไมถึงมีอะไรมีสำเร็จพลังล่ะ?”“สิ่งที่สำเร็จพลังนี้ ไม่ใช่เพียงแค่สัตว์ หากวางเครื่องบางเครื่องไว้เป็นเวลานานแล้ว และวางไว้ในที่ที่มีพลังดีเพียงพอ เขาก็จะสำเร็จพลังได้ ส่วนที่จะเป็นอันตรายหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ว่าสิ่งนั้นจะรู้แจ้งหรือไม่ เมื่อบางอย่างอยู่ในสิ่งไม่ดี เธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำร้ายผู้คน”
เฟิ้งฉีเทียนเชิดคางขึ้น เขาทำหน้าไม่สบายใจและพูดกับหลิวหลงถิงว่า “ข้าไม่ได้ไปที่เขาฉางป๋ายบ้านเจ้าเสียหน่อย เจ้าจะสนใจข้าทำไม”หลิวหลงถิงได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่ได้สนใจเฟิ้งฉีเทียนมากมาย บอกว่าโถงที่บ้านมีขนาดเล็ก ทางที่ดีที่สุดเขาควรย้ายออกไป“ขนาดเล็กเจ้าก็ยังอยู่ได้ ทำไมข้าจะอยู่ไม่ได้?”เมื่อเฟิ้งฉีเทียนกับหลิวหลงถิงเจอกันก็เริ่มมีปากเสียงกัน มองดูเขาสองคนเป็นแบบนี้ในใจฉันก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันทีเลย เป็นคู่กัดกันแท้ ๆ เลยหลิวหลงถิงก็ไม่สนใจเฟิ้งฉีเทียนอีก เขาโอบไหล่ฉันแล้วเดินออกไปข้างนอกสนามบิน ถามฉันว่าพวกเรื่องลาออกอะไรนั้นจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?หลังจากกลับไปถึงที่บ้านฉันบอกกับย่าว่าฉันลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว ต่อไปก็จะอยู่บ้านเป็นแม่หมอคอยรับคำสั่งหาเงิน และจะเป็นดูแลเลี้ยงเธอเองเดิมทีฉันคิดมาตลอดว่าที่ย่าส่งฉันไปเรียนมหาวิทยาลัย เพียงแค่ให้ฉันมีลู่ทางที่ดีในอนาคต แต่ว่าตอนนี้ฉันบอกกับย่าว่าฉันลาออกไม่ไปเรียนแล้ว ตอนแรกย่ายังดีใจต้อนรับฉันกลับบ้านแต่อยู่ ๆ ก็เงียบลงไปทันที น้ำเสียงเด็ดขาดถามว่าทำไมฉันถึงอยากลาออก? นี่ก็กำลังจะใกล้สำเร็จการศึกษาแล้ว ไม่สามารถเรียนให
คำพูดของหวังหงเกือบทำให้ฉันหาเหตุผลที่จะอยากกลับบ้านได้แล้ว แต่ว่าฉันก็โลภมากอีก ฉันไม่อยากแค่ลาหยุดสองสามวันไปเจอหลิวหลงถิง อีกทั้งอยากมาเรียนหนังสือ ดูเหมือนฉันจะถูกหลิวหลงถิงวางยาพิษไว้อย่างนั้นแหละ ทุกเช้าทุกคืนที่เขาไม่อยู่ ฉันคิดถึงเขามาก คิดถึงจนฉันแทบจะเป็นบ้า“ฉันจะเก็บไปคิดดู แล้วจะโทรกลับไปหานาย” ฉันตอบหวังหง“เธอจะมั่วคิดอะไรอีก! ทำธุรกิจการค้าได้เงินดีขนาดนี้ รับประกันเลยว่าหลังจากนี้ เธอไปทำงานแค่ภายในสองสามวันก็ได้เงินแปดหมื่นหยวนแล้ว...”ฉันไม่ฟังสิ่งที่หวังหงพูดต่อท้าย ฉันกำลังเริ่มวางแผนในใจว่าถ้าฉันต้องการทำเรื่องลาออก จะต้องไปหาอาจารย์คนไหนเพื่อทำเรื่อง ใช่แล้ว ฉันตัดสินใจได้แล้วว่า ฉันต้องการจะกลับไป ฉันไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว ฉันอยากกลับบ้านไปเจอหลิวหลงถิงหลังจากที่ฉันตัดสินใจเรื่องนี้ได้แล้ว ความกลัดกลุ้มในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาของฉันก็หมดไปเลย พลันเริ่มทยอยเก็บข้างของและจัดการเรื่องลาออกจากมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ที่หลิวหลงถิงกลับไป เฟิ้งฉีเทียนก็ทำบ้านฉันเป็นบ้านของตัวเองไปแล้ว เข้ามาก็ไม่เคาะประตู ฉันพูดกับเขาหลายครั้งมากก็ไม่ฟังกัน แต่ว่าเห็นแก
เฟิ้งฉีเทียนมองมาที่ฉันด้วยสายตาซุกซน แต่ก็ไม่พูดอะไรโดยบอกว่าฉันรู้มากไปก็ไม่ดี และอีกอย่าง ตอนนี้ไม่ใช่ว่าตอนนี้ควรห่วงหลงถิงมากกว่าเหรอ? เขาบอกฉันว่าอย่าคิดมากเลยฉันก็เอื้อมมือไปตีไหล่ของเฟิ้งฉีเทียนหนึ่งที ต่อว่าเขานี่มันหมายความว่าอะไร ทำเหมือนกับว่าเขากับหลิวหลงถิงทั้งคู่รู้เรื่องราวเยอะแยะมากมาย มีเพียงแค่ฉันที่ไม่รู้ ความรู้สึกแบบนี้มันรับไม่ค่อยได้มาก ๆ เลยนะ ฉันจึงดึงดันต่อไปอีก พลางเอ่ยขอให้เฟิ้งฉีเทียนนำเรื่องที่เขารู้ทั้งหมดบอกกับฉันได้หรือไม่?เฟิ้งฉีเทียนก็ไม่พูด บอกว่านอกเสียจากฉันจะเรียกเขาว่าพ่อสิบครั้ง ถ้าหากว่าฉันยอมเรียกล่ะก็ เขาก็จะลองพิจารณาดูว่าจะบอกเรื่องนี้กับฉันฉันก็ด่าเฟิ้งฉีเทียนว่าเจ้าทึ่มไปหนึ่งคำ ไม่พูดก็ต้องไม่ต้องพูด ฉันก็ไม่ได้อยากฟังแล้วหลังจากที่พวกเราเรียกรถกลับมาถึงบ้านแล้ว ฉันยกกะละมังน้ำออกมาเช็คตัวหลิวหลงถืงให้สะอาด เฟิ้งฉีเทียนก็เริ่มต้นรักษาอาการบาดเจ็บให้หลิวหลงถิง แต่ว่าถึงอย่างไรเฟิ้งฉีเทียนก็ไม่ได้ชำนาญทางด้านนี้ ดั้งนั้นนอกจากจะทำได้แค่นำเข้าพลังชีวิตของเขาให้หลิวหลงถิงเพื่อให้อาการทางร่างกายคงที่แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อื่นใดแล้ว ตั้