“......” เจ้ากรมซุนกับองค์ชายสามตกตะลึง หันมาสบตากัน พวกเขาล้วนเห็นความไม่เข้าใจในดวงตาของอีกฝ่าย เจ้ากรมซุนก็อึดอัดมากก่อนหน้านี้ตอนที่ชิ้นส่วนอยู่ในมือของเขา เขาก็ไม่ได้เอามาเรียงต่อหน้าทุกคน เขาจึงทำได้เพียงถือเอาไว้ และไม่ได้สังเกตด้วยว่าตราประทับหยกยังอยู่หรือไม่ เขาสนเพียงทำให้เสิ่นอวี้ยอมรับว่าฉีกหนังสือสมรส...ถ้าอย่างนั้นตราประทับหยกหายไปไหน?เจ้ากรมซุนมองไปทางซ่งหว่านฉิง กล่าวว่า “ทำไมหนังสือสมรสถึงหายไปชิ้นหนึ่งล่ะ?” ซ่งหว่านฉิงมึนงง คิดไม่ถึงว่าในตอนสุดท้ายเรื่องนี้กลับตกมาถึงนาง จึงกล่าวด้วยความลนลาน “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบ ตอนที่ข้าเอามา มันยังอยู่ครบ...เป็นไปได้ว่าคืนนั้นหลังจากนางฉีกหนังสือสมรสแล้วข้ากับหลิ่วอี๋เหนียงเก็บมาไม่ครบกระมัง” เมื่อไม่แน่ใจว่าทำตกระหว่างทางหรือไม่ นางจึงใช้สายตาหันไปทางเสิ่นอวี้“เจ้ามั่นใจนะว่าข้าทำชิ้นส่วนนั้นหายไป?” เสิ่นอวี้มองนาง ในดวงตาแฝงด้วยความหยอกล้อ“ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร!”ซ่งหว่านฉิงยืนยัน “ข้าไม่กล้าทำตราประทับหยกหายแน่ ทั่วผืนปฐพีนี้มีเพียงเจ้าที่กล้าฉีกหนังสือสมรส เจ้าไม่ต้องเล่นลิ้นแล้ว! ต้องเป็นเพราะคืนน
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ซ่งหว่านฉิงคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป เงยหน้ามองนางอย่างไม่อยากเชื่อ “ของปลอมหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร!”ความคิดต่างๆ นานาพวยพุ่งออกมาในสมองของนาง ซ่งหว่านฉิงร้อนรน “เสิ่นอวี้จนถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังจะเล่นลิ้นอีก? ในมือของเจ้ากำลังถือตราประทับหยกอยู่ ตราประทับหยกจะเป็นของปลอมได้อย่างไร!”เสิ่นอวี้หัวเราะออกมา “เจ้าไม่เคยเห็นตราประทับหยกมาก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่าที่อยู่ในมือของข้าเป็นของจริงหรือของปลอม?” “......” ซ่งหว่านฉิงตัวแข็งทื่อด้วยสถานะของนางไม่มีทางเคยเห็นตราประทับหยกมาก่อนจริงๆ ถึงแม้เมื่อก่อนจะเคยเห็นหนังสือสมรสของเสิ่นอวี้มาก่อน แต่ตอนนั้นนางสนใจแค่ว่าในนั้นเขียนอะไรไว้ กลับไม่ได้สังเกตว่าเป็นตราประทับแบบไหนนางอดหันไปมององค์ชายสามไม่ได้องค์ชายสามขมวดคิ้วแน่น มองซ่งฮวายจื้อ “ใต้เท้าซ่ง รบกวนท่านตรวจสอบด้วย ตราประทับหยกที่อยู่ในมือของเสิ่นอวี้นั้นเป็นของจริงหรือไม่” ซ่งฮวายจื้อเดินไปด้านหน้า หยิบกระดาษหลวงชิ้นนั้นมาจากมือของเสิ่นอวี้ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นมองไปทางฮ่องเต้กล่าวว่า “เรื่องเกรงว่าต้องให้ฝ่าบาท...” จิตใจของเสิ่นอวี้สั่นไหวตาแก
ตอนนี้นางดูท่าทางมึนงง น่าจะเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือแต่ในเวลาไม่นานนางก็สลัดความมึนงงนั้นทิ้งไป ดวงตางดงามคู่นั้นเป็นประกาย นางไม่ได้ตกใจ ไม่เหมือนคนอื่นกำลังเล่นงานนางกลับเหมือนนางกำลังเล่นงานคนอื่นมากกว่านี่เรียกว่าเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น แปลกประหลาดมากนางหันไปมองฮ่องเต้ กล่าวกับซ่งฮวายจื้อว่า “จะทำงานที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้สำเร็จได้จริง ๆ หรือ?” สีหน้าซ่งฮวายจื้อกลายเป็นน่าเกลียดมาก คิดไม่ถึงว่านางจะเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้ ถึงขั้นแก้แค้นทันที! นางมองฮ่องเต้เช่นนี้ ก็เพราะคิดจะยืมมือของฮ่องเต้แก้แค้นเขาหรือ? ถึงแม้ฮ่องเต้อาจจะเข้าใจเขา รู้ว่าเขาจงรักภักดี แต่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าทุกคน...เขาอดหันหน้าไปมองฮ่องเต้ด้วยความตื่นตระหนกไม่ได้ “ฝ่าบาท กระหม่อม...” ฮ่องเต้สีหน้าเขียวคล้ำจับจ้องเสิ่นอวี้ถึงแม้นางไม่พูด แต่กลับให้ความรู้สึกว่าถ้าเขายังใช้คนตาบอดอย่างซ่งฮวายจื้อต่อไปก็เท่ากับว่าเขาก็เป็นคนไร้ความสามารถต่อหน้าธารกำนัล เขาที่เป็นถึงฮ่องเต้ จะปล่อยให้คนพูดถึงแบบนี้ได้อย่างไร?เขาหลี่ตาแคบลงหันไปมองซ่งฮวายจื้อ กล่าวว่า “ดูจากเรื่องนี้แล้ว ใต้เท้าซ่
เสิ่นอวี้มองนาง ในใจเกิดความคิดอย่างหนึ่ง “นี่ก็คือคำขู่ของมารดาแท้ ๆ หรือ?” ที่แท้สิ่งที่หลิ่วอี๋เหนียงมีให้นางเหลือเพียงแค่คำขู่เท่านั้นหลังจากรู้สึกเจ็บใจอยู่พักหนึ่ง นางเก็บอารมณ์ จ้องมองซ่งหว่านฉิงกล่าวว่า “นางแซ่ซ่ง ข้าแซ่เสิ่น จะเป็นเรื่องครอบครัวได้อย่างไร?” ซ่งหว่านฉิงสีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อนึกว่าตัวเองกำลังจะเสียสถานะแม่นางเสิ่นสองของจวนโหวไป ในใจก็เกิดความรู้สึกไม่ยินยอมอีกครั้งจนถึงตอนนี้เสิ่นอวี้ถึงเห็นความโลภของสตรีนางนี้ได้อย่างชัดเจนนางยังฝันว่าหลังจากใส่ร้ายตัวนางแล้วยังจะเพลิดเพลินกับสถานะคุณหนูแห่งจวนโหวต่อไป ให้หลิ่วอี๋เหนียงหาคนดี ๆ ตบแต่งด้วยอีกหรือ?เมื่อคิดได้เช่นนี้นางอดหันไปมององค์ชายสามไม่ได้ชาติก่อนทั้งสองคนแอบมีความสัมพันธ์กันลับหลังนาง ซ่งหว่านฉิงยังท้องลูกของเขา สุดท้ายถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา...ในเมื่อรักกันลึกซึ้งเช่นนี้ ถ้าไม่ช่วยให้พวกเขาสมหวังนางคงใจร้ายเกินไป!ในดวงตาของเสิ่นอวี้เผยความเย็นชาเมื่อองค์ชายสามเห็น เขาขมวดคิ้วแน่น รู้สึกว่านางเปลี่ยนไปจนไม่อาจคาดเดาได้ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม จึงเอ่ยปากถาม “ขอถามคุณหนูเสิ่นสาม ในเมื่อแม่นางเ
พอนางเริ่มตื่นตระหนก สายตาเลิ่กลั่กกวาดมองไปทั่ว นางหันหน้าไปมั่วราวกับแมลงวันไม่มีหัว เริ่มพูดจาเหลวไหล “นะ หนังสือสมรสของจริงถูกเจ้าเผาทิ้งไปตั้งแต่วันที่ท่านอ๋องกลับมาเมืองหลวงแล้ว เจ้าในตอนนี้อยากจะแต่งงานกับองค์ชายสามคนเดียว แต่ท่านอ๋องมาบอกว่ามีสัญญาหมั้นกับเจ้า จะแต่งกับเจ้าคนเดียวเท่านั้น พอเจ้าโมโหเจ้าก็เลย...” พอพูดถึงสุดท้ายก็ร้องไห้อีกครั้ง “ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้แต่แรก ข้าคงเอาเรื่องนี้บอกกับท่านโหวนานแล้ว ใครจะรู้ว่าสุดท้ายจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้” เสิ่นอวี้ดูนางเล่นละคร กล่าวแทรกเสียงร้องไห้ของนางกล่าวเปิดประเด็นว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ หลังจากที่ข้าฉีกหนังสือสมรสแล้ว ท่านไม่ได้บอกท่านพ่อเพื่อปกป้องข้า และหนังสือสมรสปลอมเล่มนี้ท่านเป็นคนเอามาไว้ในกล่องเครื่องประดับของข้าใช่หรือไม่?” เดิมทีนางไม่ได้คิดจะจัดการหลิ่วอี๋เหนียงถึงอย่างไรนางก็คือแม่แท้ ๆแต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลิ่วอี๋เหนียงจะเข้าข้างซ่งหว่านฉิง ต่อให้พูดโกหกก็ต้องผลักนางไปตายให้ได้เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ นางอยากเห็นนักว่านางหลิ่วคนนี้จะปกป้องซ่งหว่านฉิงไปถึงขั้นไหนกัน!สายตาของเสิ
ขณะที่กล่าว นางถึงกับหันไปมองจ้านอวิ๋นเซียว “ท่านอ๋อง ท่านรักลูกอวี้มาก ข้าเป็นถึงแม่ของนาง ท่านคงไม่มองข้าถูกตีตายใช่หรือไม่?” “นางหลิ่วคนนี้ช่าง...” ทุกคนส่ายหัวให้กับสิ่งที่เห็นจ้านอวิ๋นเซียวไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแค่มองเสิ่นอวี้เงียบ ๆ เขาเริ่มสงสัยแล้วว่านางจะจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรเสิ่นอวี้มองหลิ่วอี๋เหนียง ในดวงตาหลงเหลือเพียงความเย็นชา “แม่เล็ก หรือว่าท่านจะลืมแล้วว่าตัวเองเพิ่งว่าข้าเกลียดท่านอ๋องมาก ถึงได้เผาหนังสือสมรสไม่ใช่หรือ? ข้าเผาหนังสือสมรสไปแล้ว ต้องโทษตายสถานเดียว อีกไม่นานข้าก็จะถูกประหารแล้ว ท่านอ๋องไม่ปล่อยข้าไปแน่ ท่านยังคิดจะให้เขาปล่อยท่านไปเพราะเห็นแก่หน้าข้าหรือ?” “......”หลิ่วอี๋เหนียงนิ่งเป็นท่อนไม้ น้ำตาที่ไหลรินบนใบหน้าเลอะเทอะของนาง เหมือนแข็งค้างอยู่ตรงนั้นจ้านอวิ๋นเซียวทนไม่ไหวเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็กำลังยิ้มเจียงจิ่วพึมพำ “คิดไม่ถึงจริง ๆ แม่นางเสิ่นสามคนนี้ถึงกับเป็นคนยอดเยี่ยมคนหนึ่ง!”ยอดเยี่ยมหรือไม่หลิ่วอี๋เหนียงไม่รู้ แต่ตอนนี้นางรู้เพียงนางขุดหลุมฝังตัวเองเข้าแล้วตอนนี้นางตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร
เมื่อองค์ชายสามได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจแต่มีปัญหาตรงไหนนั้นเขายังคิดไม่ออก จึงทำได้แค่รอดูสถานการณ์ต่อไปแต่หลิ่วอี๋เหนียงมีความอดทนจำกัด เดิมก็พูดโกหกอยู่แล้ว จะไปหาคนแบบนี้ที่ไหน?ด้วยเหตุนี้จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเจ้ากรมซุนเมื่อเสิ่นอวี้เห็นจึงรู้สึกตะลึง “หรือว่าระหว่างหลิ่วอี๋เหนียงกับเจ้ากรมซุนยังมีเรื่องปิดบังอื่นอีก?” เจ้ากรมซุนเดิมทีคิดจะส่งสัญญาณผ่านสายตาให้หลิ่วอี๋เหนียง แต่ไม่ทันตั้งตัวกลับเห็นสายตาของเสิ่นอวี้ เขาจึงทำได้เพียงนิ่งเฉย ก้มหน้ามองพื้น แกล้งทำเป็นไม่เห็นหลิ่วอี๋เหนียงหลิ่วอี๋เหนียงตกใจ เวลาไม่คอยท่า นางทำได้เพียงเอ่ยชื่อคนหนึ่งออกมา “นะ หนังสือสมรสปลอมนี้เป็นฝีมือของเวินซื่อไห่จากหอตำราซื่อไห่”เสิ่นอวี้หัวเราะเงยหน้ามององค์ชายสามองค์ชายสามกำหมัดแน่น ไม่มีทีท่าจะปล่อยวาง เพียงแต่อารมณ์บนใบหน้าไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้แล้วเวินซื่อไห่ไม่ใช่คนธรรมดาถึงแม้คนคนนี้จะเป็นเพียงเถ้าแก่หอตำราคนหนึ่ง ชอบเขียนอักษรวาดภาพเท่านั้น แต่ความจริงแล้วกลับเป็นคนขององค์ชายสาม ชาติก่อนองค์ชายสามใช้เขาปลอมหนังสือราชการใส่ร้ายขุนนางดี ๆ มาไม่น้อย ท้ายท
ความจริงแล้วเจ้ากรมซุนก็รู้สึกถึงอันตรายแล้วถึงแม้จะยังไม่มั่นใจว่าเสิ่นอวี้จงใจหรือไม่ แต่ชัดเจนว่าจะปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินการต่อไปไม่ได้เขาเริ่มลนลานแล้ว แต่กลับกันเสิ่นอวี้กลับไม่รีบร้อนนางก้มมองซ่งหว่านฉิง แกล้งทำเป็นจะอธิบาย “หนังสือสมรสของจริง...”ซ่งหว่านฉิงกลัวว่านางจะหาทางออกได้ จึงรีบพูดแทรกขึ้นมา “เสิ่นอวี้เจ้าคิดจะพูดโกหกอะไรอีก? ข้าว่าเจ้าอยากจะให้หลิ่วอี๋เหนียงตาย!”หลิ่วอี๋เหนียงเพิ่งได้สติจึงกล่าวเสริม “อวี้เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าสนิทกับฮูหยินใหญ่มาตั้งแต่เด็ก รังเกียจที่ข้าเป็นแม่มีสถานะต่ำต้อย...แต่อย่างไรเจ้าก็เป็นลูกที่แม่คลอดออกมา เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าได้อย่างไร?” เมื่อเจ้ากรมซุนได้ฟังจึงหันไปทางเสิ่นอวี้ “คุณหนูเสิ่นสามเหมือนจะไม่สนใจความเป็นตายของแม่เจ้าเลยนะ”พูดเพียงไม่กี่ประโยค เสิ่นอวี้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว รังเกียจมารดาแท้ ๆ ลืมบุญคุณคนเมื่อเสิ่นอวี้ได้ยินก็หัวเราะออกมา คุกเข่าไปทางเจ้ากรมซุน กล่าวด้วยความจริงใจ “หลานสาวคนนี้ขอร้องท่านเจ้ากรมช่วยชีวิตแม่ข้าด้วย! ถ้าท่านเจ้ากรมขอร้องฝ่าบาทไม่ให้เอาเรื่องแม่ข้าในวันนี้ได้ ข้าจะยอมรับท่านเจ้ากรมเป็นพ่อ