“หมายความว่าอย่างไร?”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วถามต่งจื่ออวี๋พูดด้วยน้ำเสียงซื่อๆ ว่า “ในจดหมายบอกว่าเขาสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่เร้นลับและรู้จักกันไปทั่วยุทธจักร แต่ข้าสงสัยว่าเป็นเรื่องที่ปั้นขึ้นมา ข้าไปยังภูเขาหั่วเฟิงตามในจดหมาย ข้าเดินจนทั่วภูเขาแต่ก็ไม่พบร่องรอยของใครเลยสักคน”“หา? เช่นนั้นเจ้ารู้ข่าวมาจากที่ใด?”อินชิงเสวียนถามอีกครั้ง“มีคนทิ้งจดหมายของท่านอาจารย์ข้าไว้ แต่กลับไม่ใช่ลายมือของอาจารย์อาของข้า อาจเป็นเพียงแค่การกลั่นแกล้ง”เมื่อได้ฟังคำอธิบายของต่งจื่ออวี๋ อินชิงเสวียนก็รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย“เจ้าสำนักเฮ่อมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้?”ต่งจื่ออวี๋พูดว่า “นี่ก็คือความเห็นของท่านอาจารย์ข้า นับตั้งแต่ผู้อาวุโสหลี่ตายไป อาจารย์อาก็บ้าๆ บอๆ มาตลอด บางทีเขาอาจจะไปที่ไหนสักแห่งเพื่อรำลึกถึงอดีต”เมื่อคิดถึงวิธีการจัดการเรื่องต่างๆ ของลิ่นเซียว อินชิงเสวียนก็ไร้ซึ่งคำจะพูดเดิมทีคิดว่าหาตัวลิ่นเซียวพบแล้ว บางทีอาจได้ข่าวคราวของอินหลีบ้าง แต่ตอนนี้ก็ต้องดีใจเก้ออีกครั้งจู่ๆ นางก็หมดอารมณ์ที่จะถามต่อไป ในขณะนั้นเอง เย่จิ่งอวี้ก็อุ้มลูกเดินมาจากด้
เย่จิ่งอวี้พูดปลอบใจว่า “วางใจเถอะนะ เสด็จอาไม่ใช่คนที่ไร้ซึ่งเหตุผล อีกทั้งนางหายตัวไปนานขนาดนั้น หากต้องการตามหาก็ไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร ไม่ใช่เรื่องที่สามารถสืบหาได้ชั่วข้ามคืน”อินชิงเสวียนยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้“เป็นเช่นนั้นอย่างแท้จริงเพคะ ช่างเถอะ ไม่ต้องคิดเรื่องเหล่านี้แล้ว ข้าจะให้ฟางรั่วไปตามหาชางบ้านมาต่อเรือ อาอวี้ยังไม่บอกข้าเลยนะ ท่านสามารถปลดวิชาสะกดเส้นลมปราณได้หรือไม่?”การใช้ชีวิตในโลกยุทธภพ การสามารถอยู่ได้โดยไร้วิทยายุทธ์ แม้ฟางรั่วยินยอมที่จะติดตามนาง อินชิงเสวียนก็ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อนางเย่จิ่งอวี้รู้สึกเสียใจเล็กน้อย“ข้าปลดไม่เป็นหรอก ข้าจะช่วยถามท่านตาให้เสวียนเอ๋อร์นะ วิชาสะกดเส้นลมปราณก็เป็นหนึ่งในวิชาที่เลิศล้ำที่สุดของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ท่านตาเป็นเจ้าสำนัก เขาต้องเข้าใจมากกว่าข้าแน่นอน”อินชิงเสวียนเลิกดวงตาที่สดใสราวสายน้ำ และมองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม“ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ อาอวี้เรียกว่าท่านตางั้นหรือ?”เย่จิ่งอวี้กระแอมไอแล้วพูดว่า “เจ้าสำนักเป็นผู้มีบุญคุณต่อท่านแม่ของ ยิ่งมีบุญคุณที่เลี
ฟางรั่วรับน้ำพุวิญญาณมาอย่างไม่ลังเล และดื่มหมดในครั้งเดียวจากนั้นก็ลุกขึ้นพูดว่า “ข้าน้อยจะไปปฏิบัติภารกิจเดี๋ยวนี้”นางเปิดประตูด้วยฝีเท้าที่โซเซ เดินออกไปอย่างล้มลุกคลุกคลานเย่จิ่งอวี้เหลือบมองอินชิงเสวียนและถามว่า “ท่าทางของนางจะไหวหรือไม่?”อินชิงเสวียนพูดอย่างราบเรียบว่า “นี่คือทางที่นางเลือกด้วยตัวเอง แม้ต้องร้องไห้ก็เดินให้ถึง”นี่ถือเป็นการฝึกฝนฟางรั่วในอีกรูปแบบหนึ่ง ผู้ที่กระทำการใหญ่ต้องเริ่มจากลำบากกายาเคี่ยวเข็ญถึงเอ็นกระดูก ให้อดทนอดอยากอาหาร นี่คือคำพูดที่โด่งดังชั่วกาลเส้นทางเมื่อวัยเยาว์ ฟางรั่วไม่มีสิทธิ์ได้เลือก วันนี้นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางควรจะรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเองเย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว รู้สึกราวกับว่าภาวะจิตใจของเด็กสาวคนนี้เปลี่ยนไปอีกแล้ว นางมีพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น ดวงตาที่เหมือนพระจันทร์เสี้ยวนั้นมั่นคงและกล้าหาญ ถือเป็นสตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษอย่างแท้จริงอินชิงเสวียนหันหน้ามา เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้ยิ้มตาหยีและมองมาที่ตัวเอง ก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดท่านจึงมองข้าเช่นนี้?”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความจริงใจว่า “ข้า
“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องโมริตะหมอบกราบลงบนพื้นทันที ร่างกายที่อวบอ้วนราวกับลูกบอลหนังขนาดใหญ่ น่าขันเป็นอย่างมากจักรพรรดิลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าอึมครึม และพูดเสียงเยือกเย็นว่า “นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้าย หากพวกเรายังทำได้ไม่ดี ข้าจะสังหารชาวตงหลิวกลุ่มแรกก่อน เพื่อลดแรงกดดันด้านอาหารที่น้อยลง ข้าจะเริ่มจากขุนนางอย่างพวกเจ้าก่อน และปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน!”เมื่อพูดจบ จักรพรรดิก็เดินเข้าไปในห้องโมริตะและคนอื่นๆ ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ทำได้เพียงเดินออกไปจากวังหลวงเมื่อมาถึงด้านนอก ทั้งสามก็พูดเรื่องน่าเบื่อหน่าย“ไม่ใช่ว่าใช้ทางอ้อมไม่ได้ แต่การเดินทางทางทะเลในระยะไกล จำเป็นต้องใช้กำลังทหารจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”“แต่ยังดีกว่าการที่พวกเราถูกเชือด”ท่านอ๋องโมริตะลูบเคราบางของเขา และพูดเสียงโหดเหี้ยมว่า “ครั้งนี้ไมจำเป็นต้องใช้กองทหารขนาดใหญ่ ตามหาทหารที่เชี่ยวชาญทางน้ำ และคัดเลือกชาวตงหลิวที่มีรูปร่างคล้ายชาวดินแดนจงหยวนเพื่อลักลอบเข้าไป เป้าหมายของพวกเราคือพิณการเวก ตราบใดที่สามารถทำลายพิณนี้ได้ สงครามครั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะได้รับชัยชนะ”ขณะนั
ในขณะที่เฟิงเอ้อร์เหนียงจากไป อินสิงอวิ๋นก็พาหัวหน้าหมอหลวงเหลียงเร่งรุดกลับมายังจวนแม่ทัพสิบห้านาทีก่อนหน้า จู่ๆ เป่าเล่อเอ่อร์ก็ปวดท้องอย่างรุนแรง อินปู้อวี่ไปตามหมอถึงสองคน และทั้งสองก็บอกว่ามีภาวะแท้งคุกคาม ทำให้ซูหมิงหลานลนลานจนมือไม้พันกันไปหมดนี่เป็นหลานคนแรกของตระกูลอิน ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด จึงให้อินสิงอวิ๋นไปหาหมอหลวงเหลียงโดยรวดเร็วเมื่อเห็นใบหน้าของเป่าเล่อเอ่อร์ที่ซีดลงด้วยความเจ็บปวด อินสิงอวิ๋นก็เร่งร้อนขี่ม้าเข้าไปในวังหลวงทันทีหลังจากที่เย่จั้นทราบเรื่อง ก็ให้หมอหลวงเหลียงออกจากวังไปตรวจรักษาทันที ทั้งสองจึงเร่งรุดจนมาถึงตระกูลอิน ในขณะที่เป่าเล่อเอ่อร์ก็เกือบจะเป็นลมหมดสติหมอหลวงเหลียงรีบหยิบกล่องยาออกมา แล้วตรวจชีพจรมีภาวะแท้งคุกคามจริงๆ แต่กลับดูไม่เหมือนภาวะแท้งธรรมดาชีพจรของเป่าเล่อเอ่อร์ไม่ลอย อีกทั้งเลือดและลมปราณยังไม่ทรุดโทรม ร่างกายแข็งแรงมาก ภายใต้ถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอาการแท้ง นี่เป็นเพราะสาเหตุใดกันแน่“หมอหลวงเหลียง เป่าเล่อเอ่อร์เป็นอย่างไรบ้าง”อินสิงอวิ๋นถามอย่างเร่งร้อนก่อนหน้านี้ยังปกติดี ไม่มีสัญญาณใดๆ มา
อินสิงอวิ๋นควบม้าเร็วเข้าวังหลวงอีกครั้งหมอหลวงเหลียงกำลังเดินเตร่อยู่ในสำนักหมอหลวงเขาชอบที่จะศึกษาค้นคว้าทักษะทางการแพทย์มากที่สุดในชีวิต เมื่อใดก็ตามที่เขาเผชิญกับโรคที่ยากและซับซ้อน ก็ต้องการที่จะศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และความเจ็บป่วยขององค์หญิงน้อยเจียงวูคนนี้พบได้ยากมากหลังจากคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับชีพจรในขณะนั้น พบว่าค่อนข้างคล้ายกับชีพจรของฮ่องเต้เมื่อเดือนที่แล้วราวกับว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในร่างกาย ที่กำลังผลักทารกในครรภ์ขององค์หญิงน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หมอหลวงเหลียงก็รีบพลิกตำราโบราณทันทีจำได้ว่าอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า มีชีพจรกู่ชนิดหนึ่งที่เป็นแบบนี้ หรือว่าทั้งฝ่าบาทและองค์หญิงน้อยมีหนอนกู่อยู่ในร่างกาย?หมอหลวงเหลียงรีบปีนขึ้นไปบนชั้นหนังสือ แล้วหยิบม้วนตำราที่อาจารย์ทิ้งไว้ออกมาเปิดดู เมื่อเห็นแวบแรก พบว่าดูคล้ายกันมากจริงๆโดยไม่ต้องให้เสียเหงื่อ เขารีบถือกล่องยาแล้ววิ่งไปที่ห้องหนังสือในเวลาเดียวกัน อินสิงอวิ๋นก็มาที่ห้องหนังสือด้วย เขามาที่นี่เพื่อขอน้ำพุวิญญาณ เพื่อรักษาชีวิตของเป่าเล่อเอ่อร์น้องหญิงใหญ่และฮ่องเต้น้อยพำนักอยู่ในตำหนัก ไม่แน่ว่าอา
ณ เป่ยไห่หลังจากการทำงานหนักหลายวันหลายคืน ท้องเรือก็ถูกเชื่อมเรียบร้อยช่างฝีมือเหล่านี้ล้วนเป็นแม่ทัพชำนาญการในด้านหนึ่ง แถมยังมีความสามารถ เมื่อรู้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างเรือคือเพื่อทำลายแหล่งซ่องสุมของชาวตงหลิว พวกเขาก็ทำงานอย่างกระตือรือร้นยิ่งขึ้นหลังจากได้สัมผัสกับงานเชื่อมไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากมาย พวกเขายิ่งศรัทธาพวกของอินชิงเสวียนประหนึ่งเทพเจ้าก็ไม่ปานตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ ทุกคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ พวกเขาต่างก็เกิดและเติบโตอยู่ที่ชายฝั่งทะเล ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าทะเลนั้นน่ากลัว เรือเล็กๆ ทั่วไปนั้น เจอคลื่นลมแค่ลูกเดียวก็พลิกคว่ำแล้ว การออกทะเลไปหาพวกตงหลิวไม่รู้ว่าต้องผ่านคลื่นลมกระแสน้ำอีกมากเท่าใด เช่นนี้จะไปไหวหรือตอนนี้เมื่อมองดูเรือขนาดยักษ์ที่มีขนาดเท่าลานบ้านทั่วไปที่มีบ้านสิบหลัง ในที่สุดทุกคนก็เชื่อแล้วช่วงกลางวันต่งจื่ออวี๋ได้นำศิษย์หลายคนจากสำนักมาช่วย เด็กทึ่มคนนี้ดูเหมือนจะมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ มีความสามารถมากทีเดียวอินชิงเสวียนหาโอกาสถามถึงเรื่องของลิ่นเซียว คำตอบที่ได้รับก็คล้ายๆ กัน ดูเหมือนว่าต่งจื่ออวี๋จะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ อินชิงเสวียนจึงต้อ
เมื่อกลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ อินชิงเสวียนก็ไปพบเจ้าสำนักเซี่ยวพูดอย่างนอบน้อม “ผู้เยาว์มีเรื่องจะปรึกษากับท่านตาเจ้าค่ะ”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนต่างก็เป็นคนในครอบครัว มีอะไรจะพูด ก็พูดมาได้เลย”“เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนนึกถึงแต่เรื่องนี้ ผู้เยาว์ไม่กล้าที่จะเอาน้ำพุวิญญาณออกมามากเกินไป แต่การทำให้ฝนน้ำพุวิญญาณตก ก็สามารถทำได้เจ้าค่ะ วันนั้นท่านตาและท่านแม่อาบน้ำพุวิญญาณ จึงเร่งให้การบาดเจ็บกลับมาเป็นปกติเร็วขึ้น หากลูกศิษย์ทุกคนโดนน้ำฝน ก็อาจได้รับผลเช่นเดียวกัน”หลังจากได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียนแล้ว เจ้าสำนักเซี่ยวก็นั่งตัวตรงทันที“สามารถใช้น้ำพุวิญญาณทำให้เกิดฝนได้จริงหรือ?”นี่ของวิเศษอะไรกัน ถึงได้ขัดกฎธรรมชาติเช่นนี้!อินชิงเสวียนพยักหน้า“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเจ้าค่ะ แต่เราต้องแน่ใจว่าศิษย์ทุกคนต้องโดนฝน เกรงว่าจะทำได้ยาก”นอกจากเหล่าศิษย์ลาดตระเวนแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะวิ่งไปตากฝนเจ้าสำนักเซี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถอ้างเรื่องมาสักอย่าง เรียกศิษย์ทั้งหมดไปหารือกลางเมือง พวกเขาไม่กล้าหลบไปไหนอยู่แล้ว”อิน