เนื้อที่เจียงป๋อเหนียนเพิ่งคีบเข้าปากไม่หอมขึ้นมาทันใด สีหน้าสับสน เขาออกมาจากคุกเกี่ยวข้องอันใดกับท่านอ๋อง“ป๋อเหนียน เพื่อเรื่องของเจ้า หว่านเจี่ยเอ๋อร์ไปร้องขอความช่วยเหลือกับท่านอ๋องตั้งหลายครั้ง เจ้าจึงได้ออกมารวดเร็วเช่นนี้”ฮูหยินใหญ่ยังไม่ทันได้บอกเรื่องนี้กับเจียงป๋อเหนียนนัยน์ตาเจียงป๋อเหนียนไหววูบแววฉลาดเฉียบแหลมเขาปะปนอยู่ในราชสำนักมาสิบกว่าปี ไม่เคยเข้าไปในจวนอ๋องเลยสักครั้งฮูหยินใหญ่เจียงมองดูท่าทางเจียงป๋อเหนียน คิดว่าเขาถูกแม่ลูกสกุลเฉาทำให้สับสนแล้วหว่านเจี่ยเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจวนสกุลเจียง หากสามารถแต่งเป็นอนุของท่านอ๋องได้ความรุ่งโรจน์ของสกุลเจียงในวันข้างหน้า ก็รอแค่เวลาแล้วทว่าเจียงอวิ้นไม่ยอมปล่อยเจียงหวานหว่านไปง่ายๆ“คุณหนูหก น้องสาวเข้าใจผิดตำหนิที่พี่ไม่ช่วยพี่ห้า ที่แท้เพราะท่านไปคิดจะไปขอร้องให้ปล่อยท่านพ่อออกมาก่อน ค่อยช่วยพี่ห้านี่เอง”เจียงหวานหว่านทำเหมือนไม่ได้ยิน และสนใจกินอาหารของตัวเองต่อไปเจียงอวิ้นเดิมทีคิดว่าเจียงหวานหว่านจะตกปากรับคำไปช่วยเจียงจิ่นหนิงออกมา นึกไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่เจียงจะเอ่ยปากแล้ว“ป๋อเหนียน พรุ่งนี้เ
เจียงหวานหว่านอยู่พูดคุยกับฮูหยินใหญ่เจียงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เดินกลับเรือนเหมยกับท่านแม่สองคนพวกนางไม่ได้สังเกตเห็นหรงมู่หานที่แอบยืนอยู่ในที่ลับเลยสำหรับเจียงหวานหว่านแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาตัวของท่านแม่หลายสิบปีที่ผ่านมา ร่างกายของท่านแม่เหนื่อยล้าเพราะดูแลนางมาตลอดหลังจากงานเลี้ยงวันเกิดมาพบกับเจียงหวานหว่านอีกครั้ง ในใจของหรงมู่หานก็เกิดความรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อยเจียงหวานหว่านที่ยืนอยู่ใต้แสงจันทราตอนนี้ราวกับว่าร่างของนางแผ่ซ่านไปด้วยแสงแห่งความอบอุ่น ใบหน้าอันงดงามของนางนั้น ทำให้หรงมู่หานหลงใหลไปเล็กน้อยกว่าเขาจะตั้งสติกลับมาได้อีกครั้ง เจียงหวานหว่านก็เดินไปไกลแล้วหรงมู่หานส่ายหน้าไปมาเพื่อเตือนสติตัวเอง เขาไม่ควรให้เรื่องภายนอกมากระทบจิตใจของเขาได้……เพื่อจัดการเรื่องของเจียงจิ่นหนิง เจียงป๋อเหนียนสั่งให้คนเอาจดหมายไปส่งให้ที่จวนสกุลหลิวหลังจากที่ฮูหยินหลิวรับจดหมายของเจียงป๋อเหนียน ก็ขยำจดหมายนั้นขว้างทิ้งลงบนพื้นอย่างแรงดวงตาของนางแดงก่ำ เมื่อนางนึกถึงบุตรชายที่นอนติดเตียงโดยที่ไม่อาจขยับตัวได้ นางก็เกลียงชังจนอดที่จะอยากทำให้
ในใจของฮูหยินใหญ่เจียงแอบด่าฮูหยินหลิวอยู่ว่าไร้ยางอาย ได้คืบจะเอาศอก ช่างไม่กลัวตายเสียเลย“เรื่องขอโทษต้องทำเช่นนั้นแน่นอนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องหว่านเอ๋อร์นางเข้าตาท่านอ๋องแล้ว ข้าไม่อาจยกนางให้ดูแลคุณชายหลิวได้ หากทำให้ท่านอ๋องขุ้นเคืองพระทัย ข้าไม่อาจทำได้ ส่วนเรื่องตำแหน่งของคุณชายหลิว ข้าจะกลับไปพูดกับเจียงป๋อเหนียนดู ไม่น่าจะมีปัญหามากนัก”ฮูหยินใหญ่เจียงจงใจบอกให้ฮูหยินหลิวรับรู้อย่างชัดเจนว่าท่านอ๋องชอบแม่นางแห่งสกุลเจียงของพวกเขาอยู่ฮูหยินหลิวได้ยินเช่นนี้ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้น คนร้ายกาจอย่างเจียงหวานหว่านผู้นั้นนางเองก็ไม่ได้อยากได้“คนที่ท่านอ๋องโปรดปราน สกุลหลิวมิบังอาจแย่งชิงมาหรอก แต่ที่ข้ากำลังกล่าวถึงนั้นก็คือเจียงอวิ้น คุณหนูเจ็ดแห่งสกุลเจียงต่างหาก”“หึ! หากฮูหยินใหญ่เจียงไม่ได้มาแก้ปัญหาด้วยความจริงใจก็เชิญกลับไปเถอะ”น้ำเสียงของฮูหยินเจียงไม่ค่อยจะดีนัก นางเริ่มกล่าววาจาขับไล่แขกแล้วฮูหยินใหญ่เจียงเองก็ไม่ได้เอะอะโวยวายแต่อย่างใด นางกล่าวอย่างช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า“ฮูหยินอย่าได้ร้อนใจไปเลย วันนี้ข้านำเงินมาหนึ่งแสนตำลึงฮูหยินรับไปก่อนเถอะ วันหลังข้าจ
ส่วนเจียงหวานหว่านหลายวันมานี้นางก็ไม่สบายใจเช่นกัน อาหารที่ส่งให้คนนำไปถวายให้ท่านอ๋องก็ถูกปฏิเสธกลับทั้งหมด“คุณหนู ท่านอ๋องบอกให้เอากลับมาเจ้าค่ะ”หลายวันมานี้เมื่อได้ยินคำพูดที่สือหลิวตอบกลับมา เจียงหวานหว่านก็รู้สึกแปลกใจขึ้นท่านอ๋องเป็นอันใดไป เหตุใดถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้เช้าวันต่อมา เจียงหวานหว่านเตรียมอาหารตุ๋นยาจีน ใส่ภาชนะบรรจุเรียบร้อย“คุณหนู ข้าน้อยว่าอย่าไปเลยเจ้าค่ะ เสียแรงเปล่านะเจ้าคะ”สือหลิ่วกล่าวด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ นางถูกปฏิเสธมาหลายครั้งหลายคราแล้ว ไม่อยากให้โชคร้ายเจอเช่นนั้นอีกเจียงหวานหว่านนำใส่ห่อเป็นอย่างดี และถือไว้ “ข้าจะไปดูอาการท่านอ๋องสักหน่อย”สือหลิ่วถอนหายใจออกมาด้วยความทอดถอนใจ นางรู้สึกว่าต่อให้เจียงหวานหว่านไปด้วยตัวเองก็จะถูกปฏิเสธกลับมาเช่นกัน“น้ำแกงถ้วยซ้ายให้ฉางเกอ บอกเขาว่าหลังกินเสร็จให้ตั้งใจอ่านตำราเมื่อวานให้ดี แล้วข้าจะไปหาเขาทีหลัง น้ำแกงถ้วยขวาเอาให้ท่านแม่ เจ้าดูท่านแม่ดื่มด้วยล่ะ”“เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะพยายามปลอบใจฮูหยินดื่ม คุณหนูวางใจได้”เจียงหวานหว่านมุ่งหน้าไปที่จวนอ๋อง นางอยากรู้ว่าหรงซีเป็นอันใดไปและขณะที่เจียงหวานหว
หรงซีวางพู่กันลง เลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาฉายแววใคร่ครวญมุมปากปรากฏรอยยิ้มเยาะ พูดอย่างเย็นชา “เจียงหวานหว่าน เจ้ามาทำไม ต้องการขอร้องอะไรข้าอีก”เจียงหวานหว่านก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เพิ่มระยะห่างระหว่างตัวเองกับหรงซีตอนที่ก้าวถอยหลัง ไม่ได้สังเกตเห็นเก้าอี้ข้างๆ จึงเซไปทางเก้าอี้ตัวนั้นหรงซีรีบวิ่งไปหาเจียงหวานหว่าน โอบแขนรอบเอวของเจียงหวานหว่าน แล้วทั้งสองก็แนบชิดกันลมหายใจอุ่นๆ ของชายคนนั้นเป่ารดใบหน้าของเจียงหวานหว่านเจียงหวานหว่านหน้าแดงเถือกทันที ยกมือขึ้นดันอกของหรงซี พยายามจะหลุดพ้นจากวงแขนนั้นหรงซีจับมือของเจียงหวานหว่าน นางพิงหลังชนกำแพง มือของเจียงหวานหว่านถูกเกาะกุมด้วยมือของหรงซีหัวใจของเจียงหวานหว่านเต้นรัวเร็ว เสียงสั่นเล็กน้อย “ท่าน...อ๋อง ท่าน...”หรงซีก้มศีรษะลง โน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหูของเจียงหวานหว่าน และกระซิบที่ข้างหูของเจียงหวานหว่านด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความน่าดึงดูด“เขาคือใคร”เจียงหวานหว่านตกตะลึงกับคำพูดของหรงซี ท่านอ๋องถามว่าคือใครงั้นหรือหรงซีเงยหน้าขึ้น ขยับเข้าใกล้ใบหน้าของเจียงหวานหว่าน เจียงหวานหว่านรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดใบหน้าของ
เซี่ยงหรงปกปิดความจริงที่ว่าท่านอ๋องกำลังสะกดรอยตามเจียงหวานหว่านที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เจียงหวานหว่านรู้แล้วว่าทำไมหรงซีถึงโกรธหากหรงซีเห็น เขาก็ต้องรู้สิว่านางกำลังจะล้ม แล้วกู้จ่างชิงก็ยื่นมือออกมาช่วยนางพอคิดได้ดังนี้ก็รู้สึกดีใจ ดูเหมือนว่าหรงซีก็สนใจตัวเองอยู่เหมือนกัน“รบกวนเจ้านำอาหารไปให้ท่านอ๋องด้วย ไว้วันหน้าข้าค่อยมาเยี่ยมไข้ท่านอ๋องใหม่”เซี่ยงหรงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองตามหลังเจียงหวานหว่านที่ออกเดินไปไกลแล้ว จากนั้นก้มหน้ามองอาหารในมือ แล้วก็ทำได้เพียงนำไปส่งให้กับท่านอ๋องเท่านั้น“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”“เข้ามา”เสียงเคาะประตูได้ขัดจังหวะความคิดของหรงซี แล้วประตูห้องตำราก็ก็ถูกผลักเปิดออกเขาคิดว่าคนที่มาคือเจียงหวานหว่าน แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเซี่ยงหรง เขาก็ไม่พอใจอย่างมากเซี่ยงหรงจะเดินไปข้างหน้าก็ไม่กล้าจะถอยหลังก็ไม่ได้ จึงพูดอย่างทำอะไรไม่ถูก “แม่นางเจียงมีธุระจึงขอตัวก่อน นี่คืออาหารที่นางทำให้นายท่าน”เมื่อเห็นว่าหรงซีทำเมินเฉย เซี่ยงหรงก็พูดด้วยความจนใจ “ข้าน้อยจะนำอาหารออกไปเดี๋ยวนี้”“วางลง”หรงซีแค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชาเซี่ยงหรงวางอาหารลงด้วยความเคา
เลือดสีแดงฉานไหลหยดลงที่พื้น ขอทานน้อยยกสองมือจับที่หัวแล้วนั่งขดตัวจางวั่งไฉยังคงสถบด่า “ไอ้สุนัขไร้ค่า ตีมันแรงๆ ตีมันให้ตาย.....”หลังจากตีคนเสร็จ จางวั่งไฉก็จากไปอย่างสง่างามพร้อมกับลูกน้องหมอจากโรงหมอเสวียนรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของขอทานน้อย ก่อนถอนหายใจออกมา “ไม่มีชีพจร ชีวิตน้อยๆ สูญสิ้นแล้ว”ฝูงชนที่อยู่รอบๆ ต่างก็รู้สึกสงสารขอทานน้อยเจียงหวานหว่านผลักฝูงชนออก ก่อนเดินเข้าไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของขอทานน้อยศัตรูของศัตรูคือมิตร เจียงหวานหว่านตัดสินใจจะช่วยเขา“หมอ ข้าสามารถยืมเข็มเงินได้หรือไม่?”หมอแสดงท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งเข็มเงินไปให้เมื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของขอทานน้อย ก็พบว่าเขายังมีลมหายใจอยู่ เจียงหวานหว่านใช้เข็มเงินในการรักษา“หมอโจวเป็นทายาทของหมอโจวอวี้อี เขาบอกว่าช่วยไม่ได้ก็ไม่ได้ แม่นางเสียเวลาเปล่าแล้ว”“ดูแม่นางคนนี้สิดูไม่เหมือนผู้มีทักษะทางแพทย์เลย”“แล้วใครบอกว่าไม่ใช่ มิรู้ว่าเป็นแม่นางน้อยบ้านใด ช่างทำตัวไร้สาระ!”……ในใจของฝูงชนที่มาชมความตื่นเต้นล้วนเห็นอกเห็นใจขอทานน้อยแต่พวกเขาไม่เชื่อว่าแม่นางคนหนึ่งจะสามาร
โจวไท่ฟู่ยกมือขึ้นคารวะ “ข้าแซ่โจว แม่นางเจียง เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้าดูอาการให้ฉี่เอ๋อร์ดูชำนาญไม่เบา!”“ข้ารู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เจียงหวานหว่านพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นเจียงหวานหว่านช่วยคนเมื่อครู่ โจวไท่ฟู่ก็นึกถึงภรรยาที่บ้านตนเขาเชิญหมอมากมายมารักษา แต่ไม่มีหมอคนไหนรักษาอาการเจ็บป่วยของภรรยาเขาได้เลย“ฮูหยินของข้านอนป่วยติดเตียงมาเป็นเวลานาน ไม่รู้ว่าแม่นางจะพอเดินทางไปดูอาการให้นางได้หรือไม่”เจียงหวานหว่านครุ่นคิดเล็กน้อย “ย่อมได้”โจวไท่ฟู่ยินดียิ่งนัก “ไม่ทราบว่าแม่นางมีเวลาว่างเมื่อไร? ข้าจะไปตามหาแม่นางได้ที่ใด”“วันพรุ่งนี้ ที่จวนเจียง ถนนหย่งอันทางเหนือ”โจวไท่ฟู่ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าคือคนในจวนเจียงป๋อเหนียน?””ใช่แล้ว ท่านรู้จักบิดาข้านั้นหรือ”โจวไท่ฟู่มองไปยังเจียงหวานหว่านด้วยความตกตะลึงแม่นางคนที่อยู่ตรงหน้านี้ คือคุณหนูจวนเจียงที่เพิ่งเดินทางกลับมาเมื่อไม่นานนี้นางควรจะมีกิริยาท่าทางต่ำต้อยน่ารังเกียจมิใช่หรือ เหตุใดจึงดูสง่างามอ่อนช้อยราวกับคุณหนูในตระกูลสูงส่งเช่นนี้หน้าตางดงามเหลือหลาย ในเมืองหลวงนี้คาดว่าคงไม่มีแม่นางคนใดงามไปกว่านางแล้ว