เถ้าแก่ถูกมู่จิ่วซีทีบจนกลิ้งไปกับพื้นกระเด็นถอยไป 2 เมตร เลือดสดๆ ได้พ่นออกมาจากปาก เขาร้องอย่างเวทนาและมองมู่จิ่วซีอย่างหวาดกลัวคนงานก็โมโหเดินเข้ามา คนจำนวนไม่น้อยได้เข้ามาห้อมล้อม บางคนก็อยากเข้าไปช่วยเถ้าแก่ แต่กลับถูกคนอื่นรั้งเอาไว้ถึงอย่างไรในมือของจี๋เฟิงก็มีประบี่ที่ชัดออกมาแล้ว ดวงตาอันเฉียบคมทั้งสองข้างกวาดมองโดยรอบ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะขยับ"คุณหนูใหญ่มู่ ท่านจะมากเกินไปแล้วไหม?" คนที่ห้อมล้อมก็ได้ส่งเสียงพูดกันขึ้นมา"เถ้าแก่เป็นคนดีมาก นางต้องการทำอะไรกันแน่?""หาผู้ชายทำไมถึงต่อถ่อมาหาถึงที่นี่ด้วย จะไปมีชายหนุ่มรูปงามอะไรนั่นได้ที่ไหน""เจ้าอย่าพูดเลย มีอยู่คนหนึ่งจริงๆ เขาสวมหมวกปีกกว้างสีดำ แต่ว่าไม่กี่วันนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาเลย ไม่รู้ว่าเขาไปแล้วหรือยัง""หรอ? ที่เจ้าพูดคือคุณชายหม่าหรือเปล่า? เขาไม่ได้ไปไหนหรอก เมื่อวานยังเห็นเขาทานอาหารเย็นที่โรงน้ำชาด้านนั้นอยู่เลย"คุณชายหม่าคงจะเป้นคนที่ดูดีที่สุดในท่าเรือนี้แล้ว"พวกเจ้าเจอคนที่สวมหมวกปีกกว้างด้วยงั้นเหรอ?""ลมตรงท่าเรือคนข้างแรง ข้าเองก็เห็นบางครั้ง เห็นแค่แวบเดียวก็จำได้แม่นเลยล่ะ ช่างเป็นคุณชายที่
"ถ้าเจ้าหลบ 3 กระบวนท่าของข้าได้ ข้าจะถือว่าเจ้าพูดความจริง" มู่จิ่วซีง้างหมัดออกมากระแทกไปทางกวนเฮ่อจัวตรงๆ ในทันทีกวนเฮ่อจัวรู้สึกถึงลมที่ปะทะเข้ามาตรงหน้า ทันใดนั้นเท้าของเขาก็เคลื่อนหลีกออกไป ร่างกายหันข้างเอี้ยวหลบ มู่จิ่วซีเหวี่ยงกวาดออกมาตรงๆ อีกครั้งกวนเฮ่อจัวก็ได้แต่งึมงำในปากอย่างโทสะ เขาได้แต่ย่อเพื่อหลบ แต่ความรวดเร็วนั้นว่องไวมาก เท้าขาหลังได้เตะออกไปจู่โจมมู่จิ่วซีมู่จิ่วซีถอยไป 3 ก้าวและไม่ได้บุกโจมตีต่อ"คุณหนูใหญ่มู่ นี่ท่านหมายความว่ายังไง! คิดว่าจะรังแกพ่อค้าของแคว้นตงเฉินง่ายๆ อย่างงั้นเหรอ?" กวนเฮ่อจัวปัดไปยังเสื้อคลุมยาวพร้อมกับโมโหไม่น้อยมู่จิ่วซียิ้มตรงมุมปากและกล่าวออกมา : "ข้าก็แค่อากจะยืนยันสักหน่อย ว่าคนที่แอบมองข้าบนชั้น 2 ่ก่อนหน้านี้เป็นคุณชายกวนอย่างเจ้าหรือไม่"กวนเฮ่อจัวตกตะลึง จากนั้นก็พยักหน้ากล่าว "ไม่ผิดหรอก เป็นข้าน้อยเอง"มู่จิ่วซีพยักหน้าและกล่าว : "ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว แต่ว่าตอนนี้อยากจะถามคุณชายกวนว่าใช้สายตาอันแหลมคมมองคุณหนูใหญ่อย่างข้าแบบนั้น มีเหตุผลอะไร?"กวนเฮ่อจัวก็ไอขึ้นมาในทันใดพร้อมกับกล่าว : "เพราะช่วงนี้คุณหนูใหญ่มู่มีชื่
มู่จิ่วซีพยักหน้าพร้อมกับยกน้ำถ้วยชาขึ้นมาคารวะให้เขา กวนเฮ่อจัวพอเห็นใบหน้าอันงดงามหยิ่งทระนงนั้น เขาจะไม่ให้เกียรติไว้หน้าก็คงจะไม่ได้"พักนี้กรมพระราชวังนครบาลได้จับกุมไส้ศึกแคว้นเป่ยจิ้นไว้ได้มากมาย พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไง? ประตูเมืองตอนเหนือได้แขวนศพเอาไว้ด้วย" มู่จิ่วซีพูดอย่างเรียบเฉยเถ้าแก่รีบพยักหน้าอย่างหวาดกลัว : "คุณหนูใหญ่ พวกเราที่นี่ล้วนทำธุรกิจกันอย่างซื่อสัตย์สุจริตมีเอกสารเดินทางผ่านพรมแดน การตรวจสอบก็เข้มงวดอย่างมาก""เจ้าคิดว่าถ้าไม่เข้มงวด คนของแคว้นเป่ยยังสามารถเข้ามาทำธุรกิจได้?" มู่จิ่วซีกรอกตาใส่เขา "แต่ละแคว้นก็ล้วนมีสายสืบ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ แต่หากอันตรายใหญ่หลวงก็คงจะไม่ให้ลงมือจัดการก็คงไม่ได้ ท่านผู้สำเร็จราชการแทนถูกลอบสังหารเป็นเรื่องใหญ่มาก คนของแคว้นเป่ยจิ้นจำเป็นจะต้องรับผิดชบอ ถ้าไม่ให้พวกเขาได้เห็นดีสักหน่อย ก็คงจะคิดว่าแคว้นเกาอวิ๋นของเรารังแกง่ายไม่ใช่หรือไง?""ใช่ๆๆ คุณหนูใหญ่มู่พูดถูกแล้ว เรื่องนี้มันน่ารังเกียจจริงๆ ท่านผู้สำเร็จราชการแทนเป็นดั่งเทพเซียนคอยปกป้องแคว้นเกาอวิ๋นของพวกเรา ไอไส้ศึกพวกนั้นสมควรตายแล้ว!" เถ้าแก่รีบพูดขึ้นมา"การร
"ขอรับ" เถ้าแก่เฉินรีบวิ่งไปทันทีกวนเฮ่อจัวยืนอยู่ตรงหน้าต่างพร้อมกับมองมู่จิ่วซีซึ่งขี่ม้าไปยังโกดังหย่งชางซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง แววตาของเขาก็ทอประกายความมืดมนมู่จิ่วซีลงมาอยู่ตรงหน้าประตูของโกดังหย่งชางและลงจากม้า เห็นว่าธุรกิจของที่นี่ก็ไม่ได้แย่ด้อยไปกว่าโกดังจี๋เสียงเลย ในใจก็แอบสบถอย่างไม่พอใจฉีเล่อฉี่มีธุรกิจยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับเป็นไส้ศึกแคว้นเป่ยจิ้น นางคิดอะไรกันแน่?หวังว่าฉีหู่ซานวันนี้จะถามได้ข้อมูลประโยชน์มาบ้าง"มีคนตาย มีคนตายแล้ว!" ทันใดนั้นด้านหน้าห่างออกไปไม่ไกลตรงริมแม่น้ำก็มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นมามู่จิ่วซีขณะกำลังจะเดินไปยังประตูใหญ่ของโกดังหย่งชาง พอนางได้ยินเสียงตะโกน ก็รีบพุ่งทะยานไปทางริมแม่น้ำจี๋เฟิงก็รีบตามไป ส่วนม้าก็ยกให้คนงานของโกดังจัดการ"ยังมีชีวิตอยู่!" มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นมา คนงานหลายคนต่างกรูไปที่ริมแม่น้ำมู่จิ่วซีตะโกนเสียงดังให้ทุกคนถอยออกไป ไม่นานก็ตรงมาถึงริมแม่น้ำบนผิวน้ำมีร่างคนหนึ่งลอยอยู่ ดวงตากึ่งหลับกึ่งตื่น จมูกคล้ำตาบวม เหมือนกับว่าหมดเรี่ยวแรงแล้ว"เหอเฟิง!" มู่จิ่วซีเหมือนกับโกรธจนจะระเบิดออกมา วินาทีต่อมา นางก็ได้กระ
มู่จิ่วซีรู้ว่าท่าเรือซิงหลงแห่งนี้คงมีลับลมคมในอยู่มากมาย แต่ว่านางจำเป็นต้องไปยังกรมพระราชวังนครบาล หนึ่งคือเพื่ออาการบาดเจ็บของเหอเฟิง สองคือนางอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหอเฟิงพอมาถึงกรมพระราชวังนครบาล โจวเหยาพอเห็นสภาพของเหอเฟิงก็ตกใจมาก จากนั้นก็ส่งคนกองหนึ่งไปยังท่าเรือซิงหลงเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งและต้องการใยแมงมุมรอยเท้าม้าให้เจอให้ได้ (ใยแมงมุมรอยเท้าม้า หมายถึง เบาะแส ร่องรอย)มู่จิ่วซีได้ฝังเข็มให้เหอเฟิงหลายครั้งและพบว่าเหอเฟิงเหม่อลอยอยู่เป็นครั้งคราว ราวกับว่าได้รับการกระทบทางจิตใจ อีกทั้งในหูก็ยังมีรอยเลือด เขาคงไม่ได้หูหนวกไปแล้วใช่ไหม?แต่บนตัวเขาไม่ได้มีบาดแผลสาหัส ตรงจุดนี้เองก็แปลกอย่างมากพอถึงเวลาอาหารเย็น เหอเฟิงตื่นขึ้นมาก็เห็นมู่จิ่วซี จี๋เฟิงและหลิวฮั่ว ส่วนท่านผู้สำเร็จราชการแทนโม่จุนก็เพิ่งได้ทราบข่าวและกำลังรีบมา"เหอเฟิง เจ้าฟื้นแล้ว รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?" มู่จิ่วซีถามอย่างอ่อนโยน "ดื่มยาต้มนี้ก่อน จะได้รู้สึกดีขึ้น ข้าใส่พุทราเชื่อมไปด้วย จะได้ไม่ขม"เหอเฟิงดื่มยาอย่างว่านอนสอนง่าย จากนั้นจี๋เฟิงก็ช่วยเขาพยุงให้รู้สึกสบายขึ้น"่ท่าน
แคว้นเกาอวิ๋นสมองของมู่จิ่วซีมึนงง รู้สึกเพียงแค่ร่างกายถูกคนกระชากไปมา โยนไปรอบๆ ในหูยังมีเสียงต่างๆ ลอดเข้ามาอีก“รีบเอากรงเข้ามา นังผู้หญิงไร้ยางอายคนนี้ กล้าแอบไปคบชู้สู่ชายภายนอก ต้องถูกขังกรงหมูแล้วถ่วงน้ำเสียให้ตาย”มู่จิ่วซีเบิกสองตาโพลงสิ่งที่สัมผัสกับสายตาคือแสงตะเกียงสลัวกับพื้นหญ้า รอบด้านมีคนยืนเต็มไปหมดบนตัวนางคือชุดกระโปรงยาวที่เปียกโชก มือเท้าถูกคนมัดไว้ นอนตัวงอราวกับกุ้งอยู่บนพื้นหญ้าห่างออกไปหนึ่งเมตรมีศพของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ด้วยมุมปากของนางค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชาประชดประชันนางเป็นถึงราชินีราตรีของกองทหารรับจ้างอันดับหนึ่งของโลก มีแต่นางที่คอยจับคนอื่นมัด เมื่อไรกันที่ต้องมาถูกคนพันธนาการไว้เช่นนี้?นั่นก็เพราะนางข้ามมิติมาแล้ว ดวงวิญญาณข้ามมาอยู่บนตัวของมู่จิ่วซีคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่แห่งแคว้นเกาอวิ๋น“ท่านผู้สำเร็จราชการแทน โปรดปล่อยคุณหนูใหญ่ของตระกูลพวกเราเถิด คุณหนูใหญ่กับหมอหลวงเวินถูกใส่ร้าย” หญิงสาวคนหนึ่งกำลังโขกหัวลงพื้นร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างนางมู่จิ่วซีเงยตาทันที ตั้งใจมองให้ชัดข้างหน้าห่างไปสามเมตรมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่
ไป๋เฟิ่งหว่านหน้าแข็งไปในพริบตา ตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ทันที“พวกเจ้ามองข้าทำไมกัน ข้าไม่ใช่คนที่เห็นเสียหน่อย ชิงตงต่างหากที่เห็น”ชิวตงเป็นหนึ่งในคนใช้ของไป๋เฟิ่งหว่านชิวตงรีบคลานขึ้นหน้าออกมาพูดว่า “ตอนที่ข้าน้อยเห็น หมอหลวงเวินกับคุณหนูใหญ่มู่ก็อยู่ในทะเลสาบแล้ว”มู่จิ่วซีเลิกคิ้ว เหลือบมองโม่จุนแล้วพูดว่า “ท่านผู้สำเร็จราชการแทน ท่านได้ยินแล้วหรือไม่? ตอนที่นางเห็น ข้ากับหมอหลวงเวินก็อยู่ในทะเลสาบนั่นแล้ว นี่จะอธิบายว่าข้ากับเขาฆ่าตัวตายเพราะความรักได้อย่างไร?”“เช่นนั้นเจ้าลงไปอยู่ในน้ำได้อย่างไรกัน?” โม่จุนถามขึ้น“ข้าถูกคนผลักตกน้ำ ตอนที่กำลังมึนงงก็ได้ยินเสียงคนกระโดดน้ำลงมา ดังนั้นข้าเดาว่าหมอหลวงเวินคงจะลงน้ำมาช่วยข้า”“น่าขัน หมอหลวงเวินว่ายน้ำไม่เป็นด้วยซ้ำ แล้วจะลงน้ำไปช่วยเจ้าได้อย่างไร?” ไป๋เฟิ่งหวานยิ้มเย็นชาขึ้นมา“ดูท่าคุณหนูไป๋จะคุ้นเคยกับหมอหลวงเวินเสียเหลือเกิน” ประโยคนี้ของมู่จิ่วซีทำเอาทุกคนหน้าประหลาดกันหมด“เจ้าพูดจาเหลวไหล! มู่จิ่วซี มีคนยังเห็นเจ้ากับหมอหลวงเวินคุยกันกระหนุงกระหนิงที่สวนดอกไม้ด้านหลังก่อนหน้านี้ด้วย เจ้าจะอธิบายอย่างไร?” ไป๋เฟิ่ง
นางเอื้อมสัมผัสไปที่ท้ายทอยหลังศีรษะของหมอหลวงเวินก่อนจะพูดกับโม่จุน "เจ้าเข้ามาดู"โม่จุนเดินเข้าไป พอเขาเห็นใบหน้าของคนตาย ลมหายใจก็เย็นวาบขึ้นมา"หมอหลวงเวินไม่ได้จมน้ำตายและก็ไม่ได้กระโดดลงมาช่วยข้าด้วย ที่ท้ายทอยหลังศีรษะเขามีบาดแผล ใบหน้าก็ไม่ได้บวม เขาถูกคนฆ่าก่อนแล้วถึงถูกผลักลงทะเลสาบไป ถ้ายังไม่เชื่อข้าอีก จะไปเรียนขุนนางฝ่ายชันสูตรมาชันสูตรศพนี้ก็ได้"มู่จิ่วซีพูดเสร็จก็ยืนขึ้นและจ้องมองไปยังใบหน้าของโม่จุนซึ่งหล่อเหลาจนขนาดทวยเทพยังอิจฉาชังน้ำหน้าชายคนนี้ทำไมถึงได้หล่อมากขนาดนั้น ช่างเป็นอาหารตาจริงๆ“อะไรนะ เขาจะถูกทุบตีจนตายและผลักลงทะเลสาบไปได้อย่างไร?” ไป๋เฟิ่งหว่านส่งเสียงอุทานขึ้นมาทันทีมู่จิ่วซีก็รู้สึกน่าขบขัน ทันใดนั้นนางก็ขยับเข้าหาโม่จุนและพูดกระซิบเบาๆ: "ข้าถูกผลักลงไปในน้ำจริงๆ หากเจ้ายังไม่เชื่อข้า ข้ายอมถอดเสื้อผ้าออกให้เจ้าดูแผ่นหลังข้าก็ได้ ตอนนี้ที่หลังข้ายังเจ็บอยู่เลย"โม่จุนแข็งทื่อไปทั้งตัว ดวงตาสีดำเข้มอันลึกล้ำก็ราวกับมีพายุก่อตัวขึ้นในดวงตาของเขา“ไร้ยางอาย!” โม่จุนพอพ่นวาจาออกมาสามคำก็ถอยห่างจากมู่จิ่วซีไปไกลเล็กน้อย“ใครก็ได้ เรียกเย่อู