"ใครบอก ผู้หญิงที่ไปก็ไม่น้อย เมื่อก่อนข้ายังเคยเห็นองค์หญิงเหวินซิงเลย" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างดูถูก"อะไรนะ เจ้าอย่าพูดจาซี้ซั้ว" มู่เทียนซิงอยากจะอุดปากลูกสาวของเขาเลยจริงๆองค์หญิงเหวินซิงเป็นพระมาตุจฉาของจักรพรรดิองค์น้อย เป็นพระขนิษฐาของจักรพรรดิองค์ก่อน ซึ่งนางชอบไปที่หอนางโลม (พระมาตุจฉา หมายถึง พี่หรือน้องสาวของบิดา, พระขนิษฐา หมายถึง น้องสาว)"ข้าไม่ได้พูดซี้ซั้ว คราวก่อนข้าเองก็ได้ทะเลาะกับนางด้วย ท่านพ่อ ท่านไม่เคยไปท่านไม่รู้หรอก อันที่จริงหอนางโลมมีเหล่าคุณหญิงสูงศักดิ์มากมายที่ไป" มู่จิ่วซียิ้มขึ้นมาอย่างแยบยล"เจ้ายังมีหน้ามาพูดว่าคุณหญิงผู้สูงศักดิ์อีก เจ้าเองก็เป็นดอกเบญจมาส ไม่ใช่ว่าก็เหมือนกันหรือไง" มู่เทียนซิงกล่าวอย่างโมโห (ดอกเบญจมาส เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึงหญิงสาวบริสุทธิ์)"ท่านพ่อ ต่อให้ข้าไม่ไป ทุกคนก็ยังคิดว่าข้ามักชอบไปอยู่ดี ไหนๆ สีเสียงก็เสียหายแล้ว จะยังสนใจให้ได้อะไร ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือจับพวกไส้ศึก เจ้าลองคิดแล้วกันว่ามีใครที่คุ้นเคยหอหล่านจวี๋มากกว่าข้า?" มู่จิ่วซียกข้อได้เปรียบขึ้นมากล่าวมู่เทียนซิงถึงกับผงะไป มู่จิ่วซีก็หัวเราะยิ้มออกมา : "ท่า
เย่อู่เหิงลงมาจากรถม้า พอเห็นมู่จิ่วซีเดินออกมาจากประตู ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ"ใต้เท้าเย่ ท่านมาได้อย่างไร?" มู่จิ่วซียิ้มแย้มพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้า เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปหล่อที่สง่างามและอ่อนโยน มู่จิ่วซีก็รู้สึกอารมร์ดีขึ้น"คุณหนูใหญ่มู่ ท่านต้องการออกไปข้างนอก?" เย่อู่เหิงพอเห็นนางแต่งกายอลังการมากกว่าปกติ ในใจของเขาก็รู้สึกประหลาดใจ ว่าจวนครอบครัวตระกูลไหนจัดงานเลี้ยงตอนกลางคืนงั้นเหรอ?"ใช่ ข้าจะออกไปทำธุระ ถ้าใต้เท้าเย่มีธุระคุยกับข้า งั้นนั่งรถม้าข้าและคุยกันไประหว่างทางไหม?" รถม้าของมู่จิ่วซีเป็นรถม้าขนาดใหญ่ที่หรูหราของจวนตระกูลมู่ สามารถนั่งได้แปดคนโดยไม่แออัด"ได้ขอรับ" เย่อู่เหิงก็มีธุระคุยกับนางจริงๆ หลังจากตอบรับคำ ทั้งสองก็ขึ้นรถไป ส่วนเย่ฮานและชิงเฟิงที่สามารถเข้าไปนั่งในรถม้าด้วยได้ ก็ได้แต่ต้องย้ายไปนั่งหน้ารถม้า"คุณหนูใหญ่มู่ ท่านจะไปไหนหรือขอรับ?" เย่อู่เหิงสงสัยจริงๆมู่จิ่วซีก็เผยยิ้มออกมาและกล่าว : "พุดไปเจ้าก็จะดูถูกข้า ข้าคืนนี้จะไปที่หอหล่านจวี๋""หอหล่านจวี๋?" เย่อู่เหิงตกตะลึง จากนั้นพอเขาเริ่มคิดต่อไปหลังจากนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของเข
"ข้าก็ไม่กล้ามั่นใจ แต่ทุกคนต่างรู้ว่าคุณหญิงอัครเสนาบดีได้ป่วยนอนติดเตียงอยู่ตลอดเวลา นี่ก็เป็นเวลาสิบปีแล้ว อีกไม่นานก็ใกล้จะต้องไปแล้ว พระเจ้าช่วย ข้าจะต้องรีบไปดู" มู่จิ่วซีพริบตาก็ให้เย่ฮานกลับรถม้ามุ่งไปยังจวนอัครมหาเสนาบดี"ตอนนี้ ? ท่านไม่ไปหอหล่านจวี๋แล้วเหรอ ?""ไปสิ แต่ตอนนี้ยังหัวค่ำอยู่ ข้าเดิมทีกะว่าจะไปนั่งคุยกับเพื่อนที่นั่นก่อน แต่ข้าจะต้องยืนยันก่อนว่าคุณหญิงอัครเสนาบดีเป็นเหมือนกับท่านแม่ของข้าหรือไม่ ใต้เท้าเย่ เจ้ารู้ไหมว่าหากคุณหญิงของอัครเสนาบดีถูกพิษเงาหอมนิโลบลเข้าไป มันหมายถึงอะไร?"เสียงของมู่จิ่วซีทั้งเย็นชาและสั่นเครือเย่อู่เหิงถึงกับเกร็งขึ้นมาทั้งตัวในพริบตาราวกับลมหนาวเย็นได้พัดผ่านออกมาจากขา"ใต้เท้าเย่ เจ้าไปตรวจสอบอีกทีว่าบรรดาคนในครอบครัวของใต้เท้าในราชสำนักยังมีคนในครอบครัวที่มีอาการป่วยหนักอีกหรือไม่? ไม่ใช่เพียงแค่สิบปีที่ผ่านมานี้ แต่อาจจะแค่ไม่กี่ปีนี้ ถึงแม้อาจจะยังไม่ถึงขั้นเอาชีวิต แต่จะต้องมีสัญญาณบ่งบอกเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่"มู่จิ่วซีมองไปที่เย่อู่เหิงอย่างจริงจัง"ข้าน้อยจะรีบไปดำจัดการในทันที" เย่อู่เหิงก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จะน่าก
ใต้เท้าอัครมหาใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเสนาบดีไป๋ชินเตี่ยนก็ตะโกนออกมาอย่างโมโห เขาได้เดินออกมายืนตรงประตูบ้านใหญ่ด้านนอกด้านนอกชายคา แววตาดุจเสือทั้งสองข้างก็มองมู่จิ่วซีอย่างดุร้ายแต่ที่แปลกคือมู่จิ่วซีมาพบแค่ไป๋ชิงแต่ทำไมต้องแต่งตัวสวยขนาดนี้ด่วย? นางต้องการจะทำอะไร?"มู่จิ่วซีขอคารวะใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีไป๋" มู่จิ่วซีเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที จากนั้นก็ย่อถวายความเคารพอัครมหาเสนาบดีไป๋"มู่จิ่วซี ดึกขนาดนี้แล้วมาหาชิงเอ๋อร์มีธุระอะไร?" อัครมหาเสนาบดีไป๋อายุประมาณ 40 ปี เป็นคนเฉลียวฉลาดมีความสามารถ แน่นอนเขาไม่หลงกลอุบายของมู่จิ่วซี นังผู้หญิงพาลโมโหโวยวายคนนี้ เขาได้เรียนรู้มาหลายครั้งแล้วและก็เพราะนาง เขากับมู่เทียนซิงแทบจะเป็นคู่อาฆาตกันแล้ว ปัญหาคือทุกครั้งพระพันปีหลวงมักจะช่วยมู่จิ่วซี จนทำให้เขาโกรธจนแทบจะอกแตกตาย"ใต้เท้าอะครเสนาบดี ข้ากับไป๋ชิงถือว่าเป็นสหายกัน การที่ข้ามาหาเพื่อนเพื่อพูดคุย พวกเจ้าต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ?" มู่จิ่วซีหัวเราะส่ายหัว"มู่จิ่วซี เจ้าเคยมีเรื่องดีๆ ด้วยงั้นรึ?" ไป๋เฟิ่งหว่านหัวเราะเย็นชาออกมาทันที"ไป๋เฟิ่งหว่าน ถ้าข้ามาหาเจ้า แน่นอนว่าจ
เพียงแต่มู่จิ่วซีไม่คาดคิดว่าเรือนของไป๋ชิงจะตั้งอยู่มุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจวนอัครมหาเสนาบดี จวนอัครมหาเสนาบดีใหญ่โตมาก จำเป็นต้องเดินสักระยะหนึ่งกว่าจะถึงส่วนไป๋ชิงตอนนี้กลับมีสีหน้ากังวลอย่างไม่มีอะไรเทียบได้และกำลังวิ่งออกมาพอดีมู่จิ่วซีพอเห็นบ่าวรับใช้ของจวนอัครมหาเสนาบดีตามออกมาด้วยสี่คน นางก็ยิ้มกล่าวให้กับไป๋ชิง : "คุณหนูใหญ่ไป๋ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าไหม?"ไป๋ชิงรู้ว่ามู่จิ่วซีมาหานาง นางเองรู้สึกว่ามันน่าแปลกอย่างมาก พอเห็นรูปลักษณ์ที่สวยงามของมู่จิ่วซี นางเองถึงกับตั้งสติตอบสนองอย่างไม่ทันมู่จิ่วซีเดินเข้ามาตรงๆ จากนั้นก็รับสั่งกับเย่ฮาน : "เย่ฮาน เจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ ห้ามใครเข้ามาใกล้เด็ดขาด"เย่ฮานก็ส่งเสียงตอบรับมาหนึ่งคำและยืนอยู่ตรงปากประตู บ่าวรับใช้ทั้งสี่คนก็รู้สึกเสียมารยาทเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับบหน้าอันเย็นชาของเย่ฮานบ่าวรับใช้สองคนของไป๋ชิงก็ถูกไล่ให้ออกไป มู่จิ่วซีและไป๋ชิงก็เดินมาถึงห้องของไป๋ชิงและปิดประตูลงมู่จิ่วซียังคงไม่มั่นใจและหันมองไปรอบๆ และยังตรวจสอบตรงหน้าต่างอีกด้วย"คุณหนูใหญ่มู่ เจ้ามีธุระอะไรกับข้างั้นเหรอ?" มู่จิ่วซีทำให้ไป๋ชิ
มู่จิ่วซีหันไปผู้หญิงคนนั้นที่ตามมา จากนั้นก็ทำสีหน้าเย็นชาหันไปบอก : "เจ้าออกไปก่อน ข้ากับคุณหนูใหญ่ของพวกเจ้ายังมีธุระที่ต้องคุยกัน"ผู้หญิงคนนั้นก็หันมามองไป๋ชิง ไป๋ชิงก็พยักหน้า ผู้หญิงคนนั้นก็ได้แต่ยิ้มอย่างเขินๆ และถอยฉากออกไปประตูห้องปิดลง มู่จิ่วซีหันไปมองที่ประตูห้องและถามไป๋ชิงด้วยเสียงเบา : "ไป๋ชิง กลิ่นไม้กฤษณาภายในห้องของท่านแม่ของเจ้าจุดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?"ไป๋ชิงชะงักไปชั่วขณะแล้วเอ่ยออกมา : "เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ถึงไรมันก็ถูกจุดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ข้าจำความได้ ท่านแม่บอกว่ากลิ่นของมันหอม ทำให้จิตใจสงบ นางก็เลยจุดตลอดเวลา"มู่จิ่วซีกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ : "แม่ของเจ้าถูกวางยาพิษหรือไม่นั้น คงจะเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว" ขณะที่นางพูดก็เดินไปที่ด้านหน้าของเตียงและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ผอมแห้งจนเห็นกระดูกราวกับท่อนไม้นอนนิ่งสงบอยู่ไป๋ชิงตกใจและพูดอย่างร้อนรน : "แม่ของข้าถูกวางยาพิษงั้นเหรอ?"มู่จิ่วซีได้มานั่งตรงข้างเตียงพร้อมกับหยิบเข็มเงินออกมาแล้ว นางใช้เข็มแทงที่ปลายนิ้วของผู้หญิงคนนั้นอย่างเบามือ จากนั้นเลือดหยดหนึ่งก็ไหลออกมามู่จิ่วซีโน้มตัวเข้าไปดมกลิ่
สีหน้าของไป๋ชิงโศกเศร้า จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าวออกมา : "มู่จิ่วซี ข้าคิดมาตลอดว่าพวกเราคือศัตรู...""จะเป็นไปได้ยังไง เจ้าอ่อนน้อมถ่อมคนมากขนาดนั้นมาโดยตลอดและก็ไม่เคยหาเรื่องยั่วยุข้า ศัตรูของข้าคือไป๋เฟิ่งหว่านที่ชอบแกว่งเท้าหาเสี่ยน" มู่จิ่วซียิ้มและกุมไปที่มือของนาง"ไป๋เฟิ่งหว่านชอบท่านผู้สำเร็จราชการแทน" ไป๋ชิงกล่าว "นางเองชอบท่านผู้สำเร็จราชการแทน แต่กลับเอาไปพูดกับคนอื่นว่าข้าชอบท่านผู้สำเร็จราชการแทน ก็คือนางอยากให้ข้าเป็นศัตรูกับเจ้า""ข้ารู้ ท่านผู้สำเร็จราชการแทนกับข้าได้ถอนหมั้นกันแล้ว แต่ต่อให้ถอนหมั้นแล้ว ท่านผู้สำเร็จราชการแทนก็ไม่มีทางสู่ขอไป๋เฟิ่งหว่าน นางก็แค่ฝันกลางวัน""อันที่จริงท่านพ่อของข้าก็หวังว่าน้องหญิงรองกับท่านผู้สำเร็จราชการแทนจะ... ดังนั้นเมื่อแม่ของข้าตาย ป้าสะใภ้รองก็จะขึ้นมาแทน น้องหญิงรองก็จะได้เป็นลูกสาวของภรรยาหลวง ฐานะของนางก็จะเหมาะสมกับท่านผู้สำเร็จราชการแทน" ไป๋ชิงกล่าวออกมาในทันที "พอถึงเวลาท่านพ่อก็จะคิดหาวิธีเพื่อให้ท่านผู้สำเร็จราชการแทนมาสู่ขอน้องหญิงรอง"ไป๋ชิงกล่าวอย่างรีบร้อน : "อันที่จริงข้าก็ไม่อยากเห็นเจ้ากับท่านผู้สำเร็จราชกา
ลมระลอกหนึ่งพัดเข้ามาที่ใบหน้า มู่จิ่วซีก็เห็ยชายหนุ่มที่แต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมกับเสื้อคลุมยาวสีขาวบางพริ้วมู่จิ่วซีอยากจะตะโกนดังๆ ว่าผีหลอกมากๆ แต่นางก็ได้แต่ต้องอดทนเอาไว้"อย่าขยับ" มู่จิ่วซีเอื้อมมือออกไปข้างหนึ่งเพื่อหยุดชายคนนั้นที่กำลังจะกระโจนเข้ามา "พ่อดอกเก๊กฮวย เจ้าจะสำรวมกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง? ทำแบบนี้ลูกค้าตกใจหนีไปกันหมด"พ่อดอกเก๊กฮวยซึ่งเป็นนายโลมก็ทำปากงอนไม่พอใจก็กล่าวออกมา : "คุณหนูใหญ่มู่ เจ้าไม่ได้มาหาตั้งนานแล้ว แล้วยังไม่ให้ดอกเก๊กฮวยอย่างข้าดีใจอีก""อะ โอ๋ โอ๋ ดีใจก็ดีใจ" มู่จิ่วซีหยิบแท่งเงินตำลึงออกมาให้เขาพ่อดอกเก็กฮวยคนนั้นก็ยิ้มบานสะพรั่งอย่างกับดอกเก๊กฮวยดอกหนึ่งจริงๆ"คุณหนูใหญ่ คืนนี้จะเล่นอะไรกันดี เป่ายิ้งฉุบหรือว่าจะฟังดนตรี?" ดอกเก๊กฮวยคนนั้นเข้ามาใกล้นางพร้อมกับยิ้มถาม"ไปเปิดศาลาในเรือนดีกว่า คืนนี้ราตรีช่างสายงาม พวกเรามาชมดาวกันดีกว่า" มู่จิ่วซียิ้มกล่าว"ดูดาวหรอ ได้สิ ได้สิ ดอกเก๊กฮวยอย่างข้าชอบดูดาวที่สุด" พ่อดอกเก๊กฮวยรีบสั่งให้เด็กรับใช้ไปเตรียมงานมู่จิ่วซีรู้สึกเข็ดฟัน นางเลยไอออกมาและพูดกล่าว : "อย่าดัดเสียงพูด พูดให้มันธ