โม่จุนเอ่ยปากพูด : "นี่เป็นปัญหาที่ยากจริงๆ เจ้าสำนักฮั้วไม่มีทางให้เฟิงเหยียนหยูเฟยกับเจ้าโดยที่ไม่เห็นผลลัพธ์ของเจ้าก่อน แต่ถ้าไม่มีกำลังภายใน เจ้าเองก็ไม่มีทางที่จะรักษาแม่หญิงอาจื่อได้ นี่ก็คือทางตัน"มู่จิ่วซียักใหล่และมองไปที่ฮั้วอวิ๋นเทียนและกล่าวออกมา : "นอกจากเจ้าจะไว้ใจข้า เอาวิถีจิตกำลังภายในมาให้ข้าก่อนและรอจนกว่ากำลังภายในข้าจะเพิ่มขึ้น ข้าก็จะสามารถช่วยแม่หญิงอาจื่อได้"สีหน้าของฮั้วอวิ๋นเทียนก็ขมวดเข้มขึ้นและมองไปที่นาง จากนั้นก็มองไปที่โม่จุน"เจ้ากลัวว่าข้าจะรักษาอาจื่อไม่หายและเสียเฟิงเหยียนหยูเฟยของเจ้าไปโดยประโยชน์สินะ? อันที่จริงเจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักของหอดาราจันทรา จะไปมีอะไรให้ต้องกลัว? มากสุดข้าก็แค่รักษานางไม่หาย เจ้าก็เอากำลังภายในของข้าคืนไปก็จบแล้ว"มู่จิ่วซีให้คำแนะนำเขา"งั้นเจ้าก็คงรู้ว่าถ้าเจ้าหรอกข้าจะมีผลลัพธ์อะไรตามมา?" จู่ๆ บรรยากาศรอบตัวของฮั้วอวิ๋นเทียนก็ดำทะมึนขึ้นมาพร้อมกับแฝงไปด้วยกลิ่นอายความกระหายเลือดยามค่ำคืนกลิ่นนี้ทำให้มู่จิ่วซีรู้สึกคุ้นเคยมาก ในใจก็คิดว่าในมือของผู้ชายคนนี้มีชีวิตของผู้คนอยู่ไม่น้อยทันใดนั้นรอบกายของโม่จุนก็แผ่ซ่า
ฮั้วอวิ๋นเทียนไม่ค่อยกล้าอยากจะเชื่อ แต่ท่าทีที่นิ่งสงบและมั่นใจของมู่จิ่วซีทำให้เขารู้สึกว่ามู่จิ่วซีไม่ได้หรอกเขา อีกอย่างนางก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องหลอกเขาถึงอย่างไรนางและอาจื่อก็ไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน จรรยาบรรณแพทย์ของนางตรงจุดนี้เลยทำให้เขาเชื่อมู่จิ่วซี"คุณหนูใหญ่มู่ ข้าเชื่อเจ้า ข้าจะให้วิชายุทธส่วนแรกของเฟิงเหยียนหยูเฟยแก่เจ้าก่อน" คำพูดของฮั้วอวิ๋นเทียนทำให้มู่จิ่วซีตะลึงไปนางรีบหันไปมองโม่จุน โม่จุนก็พยักหน้าและพูดออกมา : "วิถีจิตกำลังภายในโดยปกติจะแบ่งออกเป็นสามส่วน มีคนมากมายที่ไม่จำเป็นต้องเรียนไปถึงส่วนที่สาม เจ้าเพิ่งเริ่มต้น เรียนส่วนแรกก็พอ"มู่จิ่วซีพยักหน้า : "ได้ งั้นก็ส่วนแรกก่อน"ฮั้วอวิ๋นเทียนมองไปที่นางแะกล่าว : "งั้นเจ้าจะให้คำยืนยันกับข้าสักคำได้ไหม ว่าเจ้าจะเรียนถึงขั้นไหนถึงจะสามารถช่วยรักษาอาการอาจื่อได้?"มู่จิ่วซีเผยสีหน้าขมขื่นขึ้นมา จากนั้นก็มองไปที่โม่จุนโม่จุนขมวดคิ้วและพูด : "ตอนนี้ยังไม่รู้ว่านางสามารถฝึกฝนเรียนรู้ได้เร็วแค่ไหน แต่ว่าหากพูดตามปกติแล้ววิชายุทธส่วนแรกจะค่อนข้างง่าย ข้ารู้สึกว่าเวลาแค่สามเดือนนางก็คงจะเรียนรู้ทั้งหมดได
มู่จิ่วซีถูกคำพูดของมู่จิ่วซีแทงใจดำจนเลือดไหล ต้องโทษเขาเองที่ปากเสียถึงได้ไปบอกว่าจะให้เงินนาง 10,000 ตำลึงทองมู่จิ่วซีเหลือบมองโม่จุนครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังขมวดบึ้งตึงของฮั้วอวิ๋นเทียนและยิ้มกล่าวออกมา : "แต่ว่าเจ้าเองคงไม่สบายใจแน่ๆ งั้นข้าเดิมพันแข่งขันกับเจ้าหน่อยเป็นไง?""ทำไมเจ้าถึงได้มั่นใจว่าข้าจะรู้เรื่องของพวกไส้ศึกนี้?" ฮั้วอวิ๋นเทียนแทบอยากจะหัวเราะและร้องไห้ออกมา"ถ้าเจ้าไม่รู้ก็ไม่มีใครรู้แล้ว ข้ามั่นใจในความสามารถของเจ้า" สี่คำสุดท้ายของมู่จิ่วซีที่พูดไปทำให้ฮั้วอวิ๋นเทียนไม่มีโอกาสให้ได้ขัดขืน"ได้ งั้นเจ้าจะเดิมพันแข่งขันอะไร? ทักษะฉิน ?" ฮั้วอวิ๋นเทียนผ่อนคลายลงมา"ทักษะฉินเจ้าเคยแพ้ให้ข้าแล้ว แต่ให้ข้าชนะอีกเจ้าเองก็จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น งั้นพวกเราแข่งเขียนอักษรล่ะ เป็นไง?"มู่จิ่วซียิ้มจนตาพริ้มพร้อมกับเอียงคอ ไม่ว่าจะดูยังไงก็ดูเฉลียวฉลาดน่ารัก"ทักษะฉินของเจ้าชนะเจ้าสำนักฮั้ว?" ทันใดนั้นโม่จุนก็ตกใจและหันไปมองมู่จิ่วซี เขารู้ว่าเพลงของเจ้าสำนักหอดาราจันทราอย่าง "เฟิงชิวฮวง" ซึ่งเคยทำให้ทั้งหกอาณาจักรประหลาด
มู่จิ่วซียิ้มขึ้นในฉับพลันและยื่นแบมือสีขาวนวลละอออันละเอียดอ่อนออกไปข้างหนึ่งฮั้วอวิ๋นเทียนมองไปที่มือของนางแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็เอื้อมมือออกไปจับกับมือของนางครู่หนึ่งโม่จุนมองพวกเขาจับมือกันก็นึกมู่จิ่วซีเมื่อก่อนที่ทำกับเขาเช่นนี้เหมือนกัน ทันใดนั้นในใจก็มีความรู้สึกไม่สบายใจอย่างหนึ่งขึ้นมา"เดี๋ยวข้าให้คนไปเอาพู่กันกับหมึกมาให้" ฮั้วอวิ๋นเทียนกล่าว"ไม่จำเป็น แค่เขียนอักษร ไม่จำเป็นต้องพิธีการขนาดนั้น เราใช้แค่กิ่งไม้เขียนบนพื้นก็พอ แบบนี้ก็จะยิ่งสะท้อนทักษะการระดับการเขียนให้มากยิ่งขึ้นไม่ใช่หรือไง?"ใบหน้าที่งดงามของมู่จิ่วซีก็หันไปมองฮั้วอวิ๋นเทียนฮั้วอวิ๋นเทียนผงะไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็คิดอยู่พักหนึ่งและเห็นด้วยและยิ้มกล่าวออกมาในทันที : "ได้ แบบนี้ก็ยิ่งน่าสนใจกว่าเหมือนกัน?"ทั้งสองคนรีบเดินมาที่ต้นมาต้นหนึ่งในเรือน ฮั้วอวิ๋นเทียนก็เด็ดกิ่งไม้ออกมาสองกิ่ง โดยกิ่งหนึ่งมอบให้มู่จิ่วซี"จิ่วซี" โม่จุนเดินมาอยู่ตรงหน้ามู่จิ่วซีและกล่าวด้วยเสียงทุ้ม "เจ้าทำได้จริงๆ เหรอ? หรือว่าให้ข้าแข่งกับเขาจะดีกว่า"โม่จุนคิดว่าข้อมูลข่าวกรองของไส้ศึกพวกนี้สำคัญมาก ถ้าหากมู่จิ่วซีแพ
"เจ้า เจ้าทำได้ยังไงกัน?" ฮั้วอวิ๋นเทียนได้สติกลับมาคนแรก หน้าผากของเขามีเหงื่อซึมออกมาโม่จุนเองก็ได้สติกลับมาในพริบตาเช่นกัน ความรู้สึกตกใจของเขามากยิ่งกว่าฮั้วอวิ๋นเทียน ถึงอย่างไรฮั้วอวิ๋นเทียนก็ไม่รู้เกี่ยวกับอดีตของมู่จิ่วซี แต่โม่จุนกลับรได้ยินข่าวลือมาตลอดว่านางไม่เคยเรียนและมีความสามารถในศาสตร์สักแขนง ทำอะไรก็ไม่เป็นไอคนที่บอกเขานี่มันไปเห็นผีมาหรือยังไง?อักษรพวกนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังเทียบไม่ติดฝุ่น"ฮิฮิ ข้าเก่งใช่ไหมล่ะ" มู่จิ่วซีชมตัวเอง "อันที่จริงนี่ยังถือว่าไม่ได้ดี ข้าตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยคุ้นมือ ต้องฝึกสักหลายๆ ครั้งจะต้องเขีนได้ดีกว่านี้แน่""เจ้า เจ้า" ฮั้วอวิ๋นเทียนแทบจะร้องไห้ออกมา "เจ้าทำให้ข้ารู้สึกด้อยข้าตัวเอง" ฮั้วอวิ๋นเทียนประสานมือเคารพอย่างเลื่อมใสขณะเดียวในใจของเขาก็ถูกมู่จิ่วซีโจมตีจนรู้สึกย่ำแย่ เขาเองมักจะรู้สึกตลอดว่ามีความสามารถเป็นอันดับหนึ่งและยืนอยู่จุดสูงสุด ไม่คาดคิดว่าจะถูกเด็กสาวคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าสิบปีจัดการอย่างราบคาบราวกับดอกไม้ที่รวงหล่นไหลไปตามสายน้ำเมื่อก่อนก็ทักษะฉิน ตอนนี้ก็มาเป็นเขียนอักษร นางยังมีความสามารถอื่นอีกไหม?ฮั้ว
โม่จุนอีกนิดก็เกือบจะสำลักอากาศตาย เขารีบกล่างขึ้นมาอย่างเคืองๆ : "มู่จิ่วซี เจ้าคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยเสียใจ!""งั้นก็ดี ในเมื่อถอนหมั้นกันไปแล้ว เรื่องของข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าท่านผู้สำเร็จราชการแทนมาจัดการไม่ใช่หรือไง? ไม่งั้นข้าก็คงจะเข้าใจผิด" มู่จิ่วซีจ้องไปที่เขาและยิ้มขึ้นมาโม่จุนพอเห็นท่าทีลำพองใจของนาง เขาก็มีความคิดอยากจะกระโจนไปบีบคอนางหายตายเลยจริงๆเขาเป็นท่านผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีเกียรติ ใครบ้างที่ไม่เกรงกลัวเขา คนที่อยู่ต่อหน้าเขาล้วนกลัวตัวสั่น อย่างมากก็ถึงกับมือไม้วางไม่ถูกมีใครคนไหนบ้างที่เหมือนกับมู่จิ่วซีที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ทำให้เขาโกรธมากจนราวกับอายุได้สั้นลงแต่เพื่อไม่ให้ถูกพระพันปีหลวงจับเอามาเป็นประเด็น พระองค์จึงมักจะเรียกเขาให้เข้าไปในวังเพื่ออบรมสั่งสอน เขาจึงได้แต่อดทนกับผู้หญิงคนนี้ที่นับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ"อย่าโกรธเลย คนอย่างเจ้าพูดดีๆ ไม่ได้ ใจกว้างหน่อยสิ แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ อีกอย่างพ่อของข้าก็ยืนอยู่ฝ่ายเจ้า ความสัมพันธ์ของพวกเราถ้าตึงเครียดเกินไปก็คงจะดูไม่ดีนัก"มู
"ใครบอก ผู้หญิงที่ไปก็ไม่น้อย เมื่อก่อนข้ายังเคยเห็นองค์หญิงเหวินซิงเลย" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างดูถูก"อะไรนะ เจ้าอย่าพูดจาซี้ซั้ว" มู่เทียนซิงอยากจะอุดปากลูกสาวของเขาเลยจริงๆองค์หญิงเหวินซิงเป็นพระมาตุจฉาของจักรพรรดิองค์น้อย เป็นพระขนิษฐาของจักรพรรดิองค์ก่อน ซึ่งนางชอบไปที่หอนางโลม (พระมาตุจฉา หมายถึง พี่หรือน้องสาวของบิดา, พระขนิษฐา หมายถึง น้องสาว)"ข้าไม่ได้พูดซี้ซั้ว คราวก่อนข้าเองก็ได้ทะเลาะกับนางด้วย ท่านพ่อ ท่านไม่เคยไปท่านไม่รู้หรอก อันที่จริงหอนางโลมมีเหล่าคุณหญิงสูงศักดิ์มากมายที่ไป" มู่จิ่วซียิ้มขึ้นมาอย่างแยบยล"เจ้ายังมีหน้ามาพูดว่าคุณหญิงผู้สูงศักดิ์อีก เจ้าเองก็เป็นดอกเบญจมาส ไม่ใช่ว่าก็เหมือนกันหรือไง" มู่เทียนซิงกล่าวอย่างโมโห (ดอกเบญจมาส เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึงหญิงสาวบริสุทธิ์)"ท่านพ่อ ต่อให้ข้าไม่ไป ทุกคนก็ยังคิดว่าข้ามักชอบไปอยู่ดี ไหนๆ สีเสียงก็เสียหายแล้ว จะยังสนใจให้ได้อะไร ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือจับพวกไส้ศึก เจ้าลองคิดแล้วกันว่ามีใครที่คุ้นเคยหอหล่านจวี๋มากกว่าข้า?" มู่จิ่วซียกข้อได้เปรียบขึ้นมากล่าวมู่เทียนซิงถึงกับผงะไป มู่จิ่วซีก็หัวเราะยิ้มออกมา : "ท่า
เย่อู่เหิงลงมาจากรถม้า พอเห็นมู่จิ่วซีเดินออกมาจากประตู ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ"ใต้เท้าเย่ ท่านมาได้อย่างไร?" มู่จิ่วซียิ้มแย้มพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้า เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปหล่อที่สง่างามและอ่อนโยน มู่จิ่วซีก็รู้สึกอารมร์ดีขึ้น"คุณหนูใหญ่มู่ ท่านต้องการออกไปข้างนอก?" เย่อู่เหิงพอเห็นนางแต่งกายอลังการมากกว่าปกติ ในใจของเขาก็รู้สึกประหลาดใจ ว่าจวนครอบครัวตระกูลไหนจัดงานเลี้ยงตอนกลางคืนงั้นเหรอ?"ใช่ ข้าจะออกไปทำธุระ ถ้าใต้เท้าเย่มีธุระคุยกับข้า งั้นนั่งรถม้าข้าและคุยกันไประหว่างทางไหม?" รถม้าของมู่จิ่วซีเป็นรถม้าขนาดใหญ่ที่หรูหราของจวนตระกูลมู่ สามารถนั่งได้แปดคนโดยไม่แออัด"ได้ขอรับ" เย่อู่เหิงก็มีธุระคุยกับนางจริงๆ หลังจากตอบรับคำ ทั้งสองก็ขึ้นรถไป ส่วนเย่ฮานและชิงเฟิงที่สามารถเข้าไปนั่งในรถม้าด้วยได้ ก็ได้แต่ต้องย้ายไปนั่งหน้ารถม้า"คุณหนูใหญ่มู่ ท่านจะไปไหนหรือขอรับ?" เย่อู่เหิงสงสัยจริงๆมู่จิ่วซีก็เผยยิ้มออกมาและกล่าว : "พุดไปเจ้าก็จะดูถูกข้า ข้าคืนนี้จะไปที่หอหล่านจวี๋""หอหล่านจวี๋?" เย่อู่เหิงตกตะลึง จากนั้นพอเขาเริ่มคิดต่อไปหลังจากนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของเข