ผ่านไปสักพัก อวิ๋นซูถึงได้สติแล้วผลักเขาออก น้ำเสียงของเธออ่อนลงหลายเท่า “ขาชาไปหมดแล้ว”เฮ่อเยียนสือขยับถอยหลังก่อนจะก้มลงอุ้มเธอไว้ “งั้นกลับบ้านกัน”อวิ๋นซูมองหน้าเฮ่อเยียนสือใต้แสงไฟอีกฝ่ายใบหน้าคมเข้ม หาจุดติติงไม่ได้เลยถ้าคนที่เธอเจอคนแรกคือเฮ่อเยียนสือ เธอคงหลงเขาอย่างหัวปักหัวปำเหมือนกับเมื่อแปดปีก่อน ทุ่มเทโดยไม่คิดหวังอะไรแต่ตอนนี้เธอไม่ใช่เธอไม่ใช่สาวน้อยที่กล้าแกร่งเหมือนเมื่อแปดปีก่อนแล้วเธอขยับหัวไปซบที่บริเวณหน้าอกของเฮ่อเยียนสือเอาไว้ ก่อนจะฟังเสียงเต้นของหัวใจอีกฝ่ายเงียบๆ ไม่อยากจะไปนึกถึงอนาคตเพราะอย่างน้อยช่วงเวลาในตอนนี้มันคือเรื่องจริงอวิ๋นซูดื่มเหล้าไป พอถึงบ้านเธอก็หลับไปในทันทีเฮ่อเยียนสืออุ้มเธอขึ้นมาที่ชั้นสองห้องนอนหลักของบ้านในตอนที่ห่มผ้าให้เธอ รอยแดงที่คอของเธอจางลงจนเหลือแค่จุดแดงๆ แต่ในใจของเฮ่อเยียนสือก็ไม่พอใจนักเขาหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะต่อสายหาหลี่ชวน“หาคนไปสั่งสอนเฮ่อหย่วนเจ๋อหน่อย”“?” หลี่ชวนไม่เข้าใจ“คุณชาย คนที่ว่าคือหลานชายของคุณใช่ไหม?”“อืม”หลี่ชวนเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ครับ”ถึงจะอยากรู้ว่าเพราะอะไร แ
หลินเหมียวเหมียวเห็นเขาพยายามเอาใจเธออย่างระมัดระวัง ในใจก็ไม่พอใจนัก “ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”พูดจบเธอก็หยิบเอายาใส่เข้าไปในปากก่อนจะดื่มน้ำตามเย่ชางเหยียนมองดู หลังจากที่เธอกินยาจนเสร็จ เขาถึงค่อยได้ยิ้มออกมา“เตียงฉันจัดการไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว...”“หยุดเลยนะ!” หลินเหมียวเหมียวลุกขึ้น ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เย่ชางเหยียน เรื่องครั้งก่อนเป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ นายเป็นเพื่อนของเฮ่อเยียนสือ ฉันเป็นเพื่อนของอวิ๋นซู เราสองคนยังไงก็ต้องเจอกันอีก เพราะอย่างนั้นถือโอกาสวันนี้จัดการให้เรียบร้อยเถอะ”เย่ชางเหยียนชะงักไป “เธออยากจะจัดการยังไง?”“ก็ทำเหมือนว่าเรื่องนี้มันไม่เคยเกิดขึ้น” เห็นท่าทางเย่ชางเหยียน หลินเหมียวเหมียวก็เข้าไปตบไหล่อีกคน “นายคงไม่ได้อยากให้ฉันรับผิดชอบหรอกใช่ไหม?”พอพูดคำนี้ออกไป สายตาของทั้งสองคนก็สบเข้าหากัน เหมือนกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านหลินเหมียวเหมียวรีบร้อนหลบสายตา เสียงเบาลง “ขอร้องล่ะ นี่มันปี2202แล้วนะ ราชวงศ์ชิงล่มสลายไปตั้งหลายร้อยปีแล้ว ก็แค่นอนด้วยกันไม่ใช่เหรอ มันจะอะไรกันนักล่ะ?”“เพราะอย่างนั้นเรื่องนี้สำหรับเธอมันเป
เฮ่อเยียนสือไม่ได้ตอบคำถามของอวิ๋นซู แต่กลับเงยหน้าขึ้น “รถมาแล้ว”ในตอนนี้อวิ๋นซูถึงเพิ่งจะนึกได้ว่าตอนนี้เกือบจะเก้าโมงแล้วเธอรีบยัดขนมปังเข้าไปในปาก “ฉันไปก่อนนะคะ”ในตอนที่อยู่บนรถในหัวของอวิ๋นซูก็เอาแต่นึกถึงที่เฮ่อเยียนสือพูดเรื่องที่คุณเควินกำลังตามหาพิซซ่าแบบอิตาลีอยู่เธอเม้มริมฝีปากในตอนที่เธอมาถึงที่แผนกออกแบบสายตาของทุกคนที่มองมาก็แปลกไปทุกคนต่างพากันมองมาอย่างสะใจเหมือนกับว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละในตอนที่เดินเข้าไปในห้องทำงานก็เรียกเสิ่นเสี่ยวรุ่ยให้เข้ามาในตอนที่เสิ่นเสี่ยวรุ่ยเข้ามาก็ดูมีท่าทีรีบร้อน “แย่แล้วค่ะพี่อวิ๋นซู”“เกิดอะไรขึ้น?”“เมื่อกี้ฉันได้ยินว่าคุณเควินมาค่ะ”“หือ?” อวิ๋นซูเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง “งั้นตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ?”“เพิ่งจะกลับไป เห็นว่าเป็นรองหัวหน้าแผนกที่เชิญเขามาค่ะ แล้วก็เขาดูผลงานของเธอแล้วขมไม่ขาดปาก ดูเหมือนจะพอใจมากๆ...”ยิ่งพูดถึงประโยคท้ายๆน้ำเสียงของเธอก็เบาลง “พี่อวิ๋นซู...คือ...”อวิ๋นซูเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพูด “คุณเควินตกลงจะใช้งานของรองหัวหน้าแผนกแล้วเหรอ?”เสิ่นเสี่ยวรุ่ย “ก็ยังค่ะ แต่ฟังจากที่พวกเขาพ
เขากลัวว่าถ้าอวิ๋นซูแพ้ แล้วบอสจะไม่พอใจ“ที่หัวหน้าอวิ๋นพูดถึงคือ......”“เปล่าหรอก เดี๋ยวฉันไปโรงอาหารก่อนนะ”พูดจบ อวิ๋นซูก็วางสายไปก่อนเสิ่นอวี้ชิงที่กำลังถือโทรศัพท์มือถืออยู่ อยู่ดีๆก็รู้สึกว่ามันคือมันฝรั่งร้อนตอนนั้นทำไมเขาถึงคิดไอเดียแย่ๆ ที่ปล่อยให้อวิ๋นซูกับสีหว่านเอ๋อร์แข่งขันกันอย่างยุติธรรมจนตอนนี้ อวิ๋นซูแพ้ และเขาก็กำลังจะต้องออกจากตำแหน่งประธานบริษัท......เรื่องที่อวิ๋นซูทำอาหารในห้องครัวบริษัท ได้แพร่กระจายไปทั่วกลุ่มของบริษัทอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา เธอก็กลายเป็นเรื่องเยาะเย้ยของคนทั้งบริษัท“พอรู้ว่าตัวเองจะแพ้ ก็เลยจะทำร้ายตัวเองงั้นเหรอ?”“หมดคำจะพูดจริงๆ ที่จริงเธอมาทำงานหรือมาทำอาหารกันแน่ ถ้าชอบทำอาหารขนาดนี้ ทำไมไม่ไปสมัครตำแหน่งแม่ครัวตั้งแต่แรกกันล่ะ?”“ความจริงก็เป็นแค่พวกคลั่งรักไร้ปัญญา ที่จู่ๆ ชีวิตก็พลิกผันโดดเด่นขึ้นมา ก็นึกว่าจะเก่งมาจากไหนแท้ๆ แต่พอถึงตอนที่ต้องการลงมือเข้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วอ่อนหัดขนาดไหน”“รอดูเรื่องตลกวันพรุ่งนี้เถอะ”“......”เสิ่นเสี่ยวรุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ มองไปที่อวิ๋นซูที่กำลังนวดแป้งอยู่ เธออยากที
อวิ๋นซูดีใจกับคำพูดของพ่อครัว “จริงไหมคะ?”“คนจีนไม่หลอกคนจีนด้วยกันเอง”อวิ๋นซูรู้สึกโล่งใจ เธอห่อพิซซ่าชุดนึง ส่วนที่เหลือก็มอบให้กับพนักงานโรงอาหารพนักงานมองแผ่นหลังของเธอที่กำลังเดินจากไป จึงเบียดเสียดเข้ามายืนข้างพ่อครัวแล้วพูดขึ้น “หัวหน้าพ่อครัว หัวหน้าแผนกออกแบบคนนี้ก็ไม่เหมือนที่คนอื่นเขาว่ากันว่า......ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง อย่างน้อยด้านการทำอาหาร เธอก็มีพรสวรรค์มากเลยนะ”พ่อครัวมองไปยังหญิงสาวที่กำลังจากไป แล้วใบหน้าที่สดใสหล่อเหลาของเขาก็เผยยิ้มขึ้นมา“แม้แต่คนจู้จี้จุกจิกอย่างเฮ่อหย่วนเจ๋อก็ยังยอมเชื่อฟังได้ จะเป็นคนธรรมดาได้ยังไง?”เขากระซิบกระซาบ แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน......อวิ๋นซูนำพิซซ่าไปถึงโรงแรมที่เควินพักอยู่โรงแรมถูกจัดเตรียมโดยบริษัท หลังจากที่แสดงตัวตนแล้วอวิ๋นซูก็เข้าไปได้อย่างสบาย และในไม่ช้าก็มาถึงประตูห้องเธอเคาะประตูประตูเปิดออกตามเสียงเคาะเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างในเป็นเฮ่อเยียนสือ อวิ๋นซูก็ตกตะลึงงันเธอมองไปที่หมายเลขห้องอีกครั้ง และหลังจากที่ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ถึงได้มองไปที่เฮ่อเยียนสือ “ทำไมคุณถึงอยู่ที่น
เควินพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ผู้หญิงคนเมื่อกี้ คุณไม่รู้จักจริงๆ เหรอ”เฮ่อเยียนสือหมุนโทรศัพท์มือถือของเขาไปรอบๆ นั่งลงอีกครั้งแล้วพาดมือไว้หลังศีรษะ “อยู่ที่ว่าคุณจะให้นิยามคำว่ารู้จักยังไง”เควินพูดขึ้น “ผมคิดว่าวิธีที่คุณมองเธอนั้นแตกต่างกันมาก พูดตามตรง พวกคุณกําลังคบกันอยู่หรือเปล่า ถ้าคุณมาหาผม คงจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยเธอพูดหรอกนะ มีบางอย่างที่ผมต้องพูดให้ชัดเจนก่อน ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ไว้หน้าเพื่อนของผม ผมนั้นแบ่งแยกชัดเจนเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานมาโดยตลอด แม้ว่าคุณจะมาช่วยเธอพูด ผมก็จะไม่ไว้หน้าแน่นอน”เฮ่อเหยียนสือยิ้มและพูดว่า “ผมยังไม่เคยพูดถึงอะไรเกี่ยวกับวันพรุ่งนี้เลยนะ”เควินเอ่ย “คุณไม่ได้มาเพื่อพูดช่วยผู้หญิงคนเมื่อกี้จริงๆ เหรอ”“เปล่า”เควินจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “พวกคุณไม่รู้จักกันเหรอ”เฮ่อเหยียนสือเงียบเควินกลับคิดว่าเขายอมรับ จึงลูบไปที่หน้าอกของเขาให้เรียบ “ผมนึกว่าคุณชอบผู้หญิงคนนั้น แต่ว่าเมื่อคิดๆ ดูแล้ว คนบ้างานอย่างคุณจะมีคนที่ชอบได้ยังไง เอาเถอะ ผมไม่มีธุระอะไรแล้ว”เฮ่อเหยียนสือหยิบเสื้อโค้ทขึ้นมา วางไว้บนแขนเล็กๆ ของเขา โบกมือลาเควิน แล้วร
“ขอโทษนะคะ พอดีทำงานเพลินไปหน่อยจนลืมเวลาไป”พี่หลินรีบพูดขึ้น “คุณผู้หญิงอย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผมรับผิดชอบไม่ไหวหรอก รีบขึ้นรถเถอะครับ”เสิ่นเสี่ยวรุ่ยที่อยู่ข้างๆ มองไปที่พี่หลินที่เปิดประตูให้อวิ๋นซู เมื่อเธอเห็นการตกแต่งภายในรถก็อดอิจฉาไม่ได้และพูดกับอวิ๋นซูด้วยเสียงต่ำว่า “พี่อวิ๋นซู ครอบครัวของพี่ช่างดีกับพี่จริงๆ เลยถึงได้เตรียมรถมารับพี่เป็นพิเศษ”ครอบครัวสองพยางค์นี้เป็นเหมือนมีดที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของอวิ๋นซูอย่างไร้เสียงเธอก้มหน้าลง และซ่อนความเจ็บปวดไว้ภายใต้ดวงตาของเธอ “ไม่ใช่จากครอบครัวหรอก มาจากบริษัทน่ะ”เสิ่นเสี่ยวรุ่ยรู้สึกประหลาดใจ “บริษัท? แล้วทําไมหัวหน้าแผนกอื่นถึงไม่ได้รับอภิสิทธิ์นี้ล่ะ”เธอเห็นว่าหัวหน้าแผนกอื่นๆ ต่างก็ขับรถด้วยตัวเองอวิ๋นซู ตกตะลึง “เธอพูดว่าอะไรนะ”ทั้งสองคนพูดเสียงเบามาก พี่หลินที่นั่งอยู่แถวหน้าก็ไม่ได้สังเกต แต่กลับขับรถไปอย่างตั้งใจ“ฉันพูดว่า...” เสิ่นเสี่ยวรุ่ยเอ่ย “หัวหน้าแผนกอื่นๆ ต่างก็ขับรถด้วยตัวเอง......”อวิ๋นซูเงยหน้าขึ้นมองพี่หลิน แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยเสิ่นเสี่ยวรุ่ยพูดต่อ “พี่อวิ๋นซู ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”อ
จมูกของเฮ่อเหยียนสือวางอยู่บนกระดูกไหปลาร้าของอวิ๋นซู สูดดมกลิ่นที่คุ้นเคย แต่สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของเขา กลับเป็นช่วงเวลาที่เซิ่งหย่าจวี๋กับอวิ๋นไจ่เหอทำหลายสิ่งหลายอย่างต่ออวิ๋นซูเขานึกไม่ออกว่าร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้ อดทนต่อการทรยศของพ่อแม่ตัวเองได้อย่างไรเขากอดอวิ๋นซูให้แนบแน่นยิ่งขึ้น“ไม่มีอะไร ผมแค่อยากจะกอดคุณ”หัวใจของอวิ๋นซูราวกับใบไม้ที่ถูกทำให้สั่นอยู่เบา ๆเธอปล่อยให้เฮ่อเหยียนสือกอดอยู่แบบนั้นความเงียบปกคลุมระหว่างคนสองคน ราวกับริบบิ้นที่มองไม่เห็น พัวพันหัวใจที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ทั้งสองดวงเข้าด้วยกันด้วยการเต้นของหัวใจของเฮ่อเหยียนสือ เปลือกตาของอวิ๋นซูก็เริ่มต่อสู้กันทันใดนั้น ความรู้สึกเย็นก็แพร่กระจายจากกระดูกไหปลาร้าเธอสะดุ้งตกใจ และความง่วงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อลืมตาขึ้น จึงเห็นเฮ่อเหยียนสือกัดกระดูกไหปลาร้าของเธอ และแทะอยู่เบา ๆ“คุณเป็นหมาหรือรึไงเนี่ย”อวิ๋นซูแพ้ให้เขาแล้วเฮ่อเหยียนสือเงยหน้าขึ้นและลูบรอยแดงที่งดงามตรงกระดูกไหปลาร้า “จากนี้ไป คุณเป็นของผม”อวิ๋นซูไม่ได้สนใจอะไรมากแล้วผลักเขาออก “ฉันหิว”เฮ่อเหยียนสือลุกขึ้นและไปที่